Inbound Marketing vs Outbound Marketing คืออะไร ต่างกันอย่างไร

By Rachavit Whangpatanathon I MD at ANGA Group

19 MAY 25

13

6.webp

ทุกวันนี้มีกลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy) ให้เลือกใช้กันเพียบ สามารถแบ่งประเภทหรือแตกรูปแบบออกไปได้หลากหลายแบบ แต่รูปแบบของแบ่งประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Inbound Marketing และ Outbound Marketing โดยก่อนหน้านี้ ANGA Mastery ก็มีบทความ SEO สำหรับอธิบายการตลาดทั้งสองรูปแบบกันไปแล้ว แต่เราเชื่อว่าบางคนคงจะยังไม่ได้อ่านมาก่อนแน่ ๆ และไม่ต้องกังวลเลย เพราะก่อนที่เราจะอธิบายความแตกต่างของ Inbound Marketing กับ Outbound Marketing เราจะมาอธิบายให้คุณรู้ก่อนว่า Inbound Marketing vs Outbound Marketing คืออะไร? พร้อมแนะนำการทำการตลาดที่ผสานทั้ง Inbound Marketing และ Outbound Marketing อย่างลงตัว เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

Inbound Marketing vs Outbound Marketing คืออะไร

Inbound Marketing vs Outbound Marketing คืออะไร? เริ่มจาก Inbound Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นการดึงดูดลูกค้าให้เข้าหาธุรกิจด้วยตัวเอง ผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย การตลาดรูปแบบนี้เริ่มจากการทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า แล้วนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อช่วยแก้ปัญหาหรือตอบคำถามที่พวกเขากำลังค้นหา ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและมีความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญของแบรนด์ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจซื้อในที่สุด

ตัวอย่าง Inbound Marketing

  • การทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google
  • การเขียนบทความที่มีคุณภาพและให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์บนเว็บไซต์
  • การสร้าง Video Content ที่มีคุณค่าบน YouTube หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ 
  • การทำ E-book หรือคู่มือแจกฟรีเพื่อแลกกับข้อมูลติดต่อของกลุ่มเป้าหมาย
  • การใช้กลยุทธ์ Social Media Marketing แบบไม่เน้นการขาย
  • การจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) หรือทำ Podcast ให้ความรู้

ส่วน Outbound Marketing คือการตลาดแบบดั้งเดิมที่ธุรกิจเป็นฝ่ายรุกเข้าหาลูกค้าก่อน ด้วยการส่งข้อความโฆษณาออกไปยังกลุ่มคนจำนวนมาก โดยไม่ได้สนใจว่าผู้รับจะกำลังสนใจหรือต้องการข้อมูลนั้นหรือไม่ การตลาดรูปแบบนี้มักใช้จะเป็นการจ่ายเงินซื้อพื้นที่สื่อหรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในการโฆษณาส่งข้อความออกไปก่อนแบบกว้าง ๆ และหวังให้ส่วนหนึ่งของผู้รับสนใจหรือตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ (เหมือนการหว่านแหจับปลา) ข้อดีคือเห็นผลลัพธ์เร็ว แต่ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เมื่อหยุดโฆษณาก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ต่อ

ตัวอย่าง Outbound Marketing

  • การโฆษณาผ่านรายการโทรทัศน์หรือช่องวิทยุ
  • การตั้งหรือติดป้ายโฆษณากลางแจ้งและสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ 
  • การส่งจดหมายไปยังกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
  • การโทรศัพท์ขายตรง (Telemarketing)
  • การทำโฆษณาออนไลน์ เช่น Facebook Ads, TikTok Ads หรือ Google Ads
  • การสนับสนุนกิจกรรมหรือการแสดงต่าง ๆ เพื่อติดโลโก้หรือชื่อแบรนด์

Inbound Marketing vs Outbound Marketing ต่างกันอย่างไร

Inbound Marketing vs Outbound Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่มีแนวทางแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งทั้งคู่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการเข้าถึงลูกค้าและสร้างยอดขาย แต่วิธีการ ต้นทุน และผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่เหมือนกัน โดยเราได้รวบรวมความแตกต่างหลัก ๆ ระหว่าง Inbound Marketing vs Outbound Marketing มาให้แล้ว ไปดูกันเลย

1. วิธีการเข้าถึงลูกค้า

Outbound Marketing ใช้วิธีการส่งข้อความโฆษณาออกไปหาลูกค้าโดยตรง ไม่ว่าลูกค้าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม เช่น การโฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุ หรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ในขณะที่ Inbound Marketing ทำในทางตรงข้าม คือการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาหาธุรกิจเอง ผ่านการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตหรือ Social Media ต่าง ๆ

2. ระยะเวลาในการเห็นผล

Outbound Marketing ให้ผลเร็วกว่า สามารถสร้างการรับรู้และยอดขายได้ในระยะสั้น เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ส่วน Inbound Marketing ต้องใช้เวลาในการสร้างเนื้อหา พัฒนาเว็บไซต์ และรอให้ติดอันดับในการค้นหา อาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผลชัดเจน แต่ผลที่ได้มีความยั่งยืนกว่า

3. การมีส่วนร่วมของลูกค้า

Inbound Marketing สร้างการมีส่วนร่วมได้ดีกว่า เพราะลูกค้าเลือกที่จะเข้ามาดูเนื้อหาด้วยความสนใจจริง ๆ  ทำให้เกิดความรู้สึกดีต่อแบรนด์และมีโอกาสกลายเป็นลูกค้าประจำได้มากกว่า ขณะที่ Outbound Marketing มักจะถูกมองว่ารบกวน ลูกค้าอาจมองข้ามหรือหลีกเลี่ยงการดูโฆษณาได้ง่าย ทำให้การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวเป็นไปได้ยาก

4. งบประมาณที่ใช้

Outbound Marketing มักจะใช้งบประมาณสูงกว่า โดยเฉพาะการซื้อสื่อโฆษณาในช่องทางหลัก เช่น โทรทัศน์หรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ในขณะที่ Inbound Marketing ใช้งบประมาณน้อยกว่ามาก เน้นการลงทุนกับการสร้างเนื้อหาคุณภาพและการทำ SEO (ซึ่งมีต้นทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว)

*SEO คืออะไร? SEO หรือ Search Engine Optimization คือการปรับแต่งและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Google ต้องการ โดยมีจุดประสงค์คือการทำให้คีย์เวิร์ด (Keyword) ที่นำมาสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google หากสนใจเรียนรู้การทำ SEO สามารถดูรายละเอียดได้ที่ >> คอร์สเรียน SEO

5. รูปแบบคอนเทนต์

รูปแบบคอนเทนต์ของ Outbound Marketing มักเน้นการโน้มน้าวและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในทันที ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นโฆษณาโดยตรงที่นำเสนอจุดเด่นของสินค้า โปรโมชัน หรือข้อเสนอพิเศษ เช่น สปอตโฆษณา ป้ายโฆษณา หรือแผ่นพับ ส่วน Inbound Marketing มุ่งสร้างคอนเทนต์ที่ให้ความรู้ ข้อมูล หรือความบันเทิงก่อน โดยมีการแทรกข้อมูลสินค้าไว้อย่างแนบเนียน เช่น บทความวิธีแก้ปัญหา วิดีโอสาธิต อินโฟกราฟิก หรือพอดแคสต์ที่ช่วยให้ลูกค้าได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกขายของ

6. ความยั่งยืนของผลลัพธ์

เนื้อหาที่ใช้ใน Inbound Marketing สามารถอยู่บนอินเทอร์เน็ตได้นาน แม้ผ่านไปหลายปี บทความหรือวิดีโอยังคงสร้างทราฟฟิกและลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ตรงกันข้ามกับ Outbound Marketing ที่มีอายุสั้น เมื่อหยุดจ่ายค่าโฆษณา ผลลัพธ์ก็จะหายไปทันที ไม่มีมูลค่าสะสมในระยะยาว ทำให้ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาผลลัพธ์

7. การวัดผลความสำเร็จ

Inbound Marketing มีข้อได้เปรียบในการวัดผลที่แม่นยำกว่า สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น จำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ อัตราการคลิก หรือการกรอกฟอร์ม ทำให้ปรับปรุงกลยุทธ์ได้ตรงจุด ส่วน Outbound Marketing วัดผลได้ยากกว่า มักต้องใช้การสำรวจหรือวิจัยตลาดเพิ่มเติมเพื่อดูว่าโฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริงหรือไม่

Inbound vs Outbound Marketing เหมาะกับธุรกิจแบบไหน

การเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ทั้ง Inbound Marketing และ Outbound Marketing มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน รวมทั้งเหมาะกับธุรกิจที่มีลักษณะและเป้าหมายต่างกันด้วย อย่างไรก็ตามแนะนำให้พิจารณาจากงบประมาณ, ระยะเวลาที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ และลักษณะของกลุ่มเป้าหมายร่วมด้วยจะเป็นการดีที่สุด

ธุรกิจที่เหมาะกับ Inbound Marketing

  • ธุรกิจ B2B ที่ลูกค้าใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจนาน
  • ธุรกิจที่เสนอขายบริการทางวิชาชีพ เช่น ที่ปรึกษา ทนาย หรือนักบัญชี
  • Startup ที่มีงบประมาณจำกัดแต่ต้องการสร้างการรับรู้ในระยะยาว
  • ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีความซับซ้อน ต้องการการอธิบายและให้ความรู้แก่ลูกค้า
  • ธุรกิจที่มีเป้าหมายในการสร้างฐานผู้ติดตามที่เหนียวแน่น

ธุรกิจที่เหมาะกับ Outbound Marketing

  • ธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัวและต้องการให้คนรู้จักอย่างรวดเร็ว
  • ธุรกิจที่ต้องการโปรโมตสินค้าหรือบริการออกใหม่ให้เป็นที่รู้จัก
  • ธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลหรือโปรโมชันพิเศษ
  • ธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนทั่วไปและไม่ได้มีความเฉพาะเจาะจงมาก
  • ธุรกิจที่มีคู่แข่งมากและต้องการสร้างจุดเด่นในตลาด

ควรทำอะไรดี? ระหว่าง Inbound vs Outbound Marketing

ระหว่าง Inbound Marketing vs Outbound Marketing ควรเลือกทำอะไรดี? หลายคนอาจจะสงสัยว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเปล่า? คำตอบคือไม่ต้องเลือกทำอย่างเดียว คุณสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไปได้ โดยอาจจะหยิบใช้กลยุทธ์ SEO จากฝั่ง Inbound มาใช่ควบคู่กับกลยุทธ์โฆษณา Google Ads จากฝั่ง Outbound มาใช้ เพื่อทำให้เว็บไซต์เติบโตขึ้น ในขณะเดียวกันก็มียอดขายสูงขึ้นด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเรามีตัวอย่างและคำแนะนำในการผสานกลยุทธ์การตลาด Inbound Marketing vs Outbound Marketing มาฝากกันด้วย ลองไปดูเป็นแนวทางกันได้เลย

1. ใช้ Outbound กระตุ้นการรับรู้ และ Inbound สร้างความสัมพันธ์

เริ่มจากการใช้ Outbound Marketing สร้างการรับรู้แบรนด์ให้คนจำนวนมากรู้จักคุณอย่างรวดเร็ว แล้วตามด้วย Inbound Marketing เพื่อรักษาความสนใจและพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาว วิธีนี้เหมาะมากสำหรับธุรกิจใหม่หรือสินค้าที่เพิ่งเปิดตัว คุณอาจเริ่มด้วยการซื้อโฆษณาเพื่อดึงดูดความสนใจ แล้วนำผู้สนใจมาที่เว็บไซต์หรือบล็อกที่มีเนื้อหาดี ๆ รอพวกเขาอยู่ แบบนี้คุณจะได้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในระดับหนึ่งแล้วมาต่อยอดด้วยเนื้อหาที่มีคุณค่า

2. ส่งเสริมเนื้อหา Inbound ด้วยการโฆษณาแบบ Outbound

เนื้อหาดี ๆ ที่คุณทำขึ้นสำหรับ Inbound Marketing อาจถูกมองข้ามได้ถ้าไม่มีใครรู้ว่ามันมีอยู่ การใช้ Outbound Marketing มาช่วยโปรโมตเนื้อหาเหล่านี้จะช่วยเร่งการเข้าถึงได้เร็วขึ้น เช่น ใช้โฆษณา Google Ads หรือโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อดึงคนเข้ามาอ่านบทความที่มีประโยชน์ ดาวน์โหลด E-book ฟรี หรือเข้าร่วมงานอีเวนต์ของคุณ วิธีนี้ช่วยให้เนื้อหาดี ๆ ของคุณได้พบกับคนที่อาจไม่ได้ค้นหาคุณบน Google ได้

3. ใช้ Email Marketing เชื่อมโยงทั้งสองกลยุทธ์

Email Marketing คือเครื่องมือที่ยืดหยุ่นและใช้ได้กับทั้ง Inbound Marketing และ Outbound Marketing คุณสามารถตั้งระบบอีเมลอัตโนมัติที่ส่งเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่สมัครรับข้อมูล (แบบ Inbound) พร้อมกับการส่งอีเมลแจ้งโปรโมชันหรือข้อเสนอพิเศษตรง ๆ (แบบ Outbound) ให้กับกลุ่มที่น่าจะสนใจได้ การผสมผสานนี้ช่วยให้คุณสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

4. ใช้ระบบ CRM เชื่อมโยงข้อมูลจากทั้งสองช่องทาง

ระบบ CRM (Customer Relationship Management) ช่วยให้คุณจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากทั้ง Inbound และ Outbound ได้ในที่เดียว คุณจะเห็นว่าลูกค้าแต่ละคนมาจากช่องทางไหน สนใจเนื้อหาอะไรบ้าง และควรติดต่อพวกเขาแบบไหนต่อไป การมีภาพรวมแบบนี้ช่วยให้คุณปรับการตลาดให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคนได้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสขายและสร้างลูกค้าประจำในระยะยาว

5. ใช้ Retargeting เชื่อมโยงผู้ใช้จาก Inbound มาสู่การขายแบบ Outbound

Retargeting เป็นเทคนิคที่ช่วยเชื่อมโยงคนที่เคยเข้าเว็บไซต์คุณ (จาก Inbound) แต่ยังไม่ซื้อ ให้กลับมาอีกครั้งด้วยโฆษณาที่ตรงใจ (แบบ Outbound) คุณสามารถแสดงโฆษณาสินค้าที่พวกเขาเคยดู หรือเสนอส่วนลดพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ วิธีนี้เป็นการต่อยอดจากความสนใจที่มีอยู่แล้วและเพิ่มโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น

6. วัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ไหน การวัดผลและปรับปรุงเป็นสิ่งสำคัญ ติดตามว่าทั้ง Inbound และ Outbound ให้ผลดีแค่ไหนกับธุรกิจคุณ คุณอาจพบว่าบางช่องทางหรือบางเนื้อหาได้ผลดีกว่าอื่น ๆ ใช้ข้อมูลนี้ปรับกลยุทธ์และจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม การทำ A/B Testing และการทดลองเล็ก ๆ จะให้ข้อมูลที่มีค่าว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณชอบอะไรมากที่สุด

สรุป

สรุปว่า Inbound Marketing vs Outbound Marketing คือกลยุทธ์การตลาดแบบขั้วตรงข้าม โดย Inbound จะเป็นการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาหาแบรนด์ผ่านเนื้อหาที่มีคุณภาพ ส่วน Outbound จะเป็นการผลักหรือยัดเยียดเนื้อหาไปหากลุ่มเป้าหมายผ่านการทำโฆษณา หากถามว่า Inbound Marketing vs Outbound Marketing เลือกทำกลยุทธ์ไหนดี? คำตอบคือแนะนำให้ผสมผสานทั้งสองกลยุทธ์เข้าด้วยกัน อย่างการทำ SEO หาคนเข้าเว็บไซต์แบบ Organic ควบคู่ไปกับการโปรโมตธุรกิจให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่าน Google Ads เป็นต้น

คอร์สเรียนการตลาด เปิดทักษะแห่งโลกอนาคตกับ ANGA Mastery

คอร์สสอน Facebook Ads

Related News

Yoast SEO เครื่องมือปรับแต่ง SEO บน WordPress

รู้จัก Yoast SEO คืออะไร เครื่องมือช่วยปรับแต่ง SEO ยอดนิยมบนเว็บไซต์ WordPress พร้อมเช็กลิสต์ใช้ตรวจสอบโครงสร้างเนื้อหา ไต่อันดับสูงบน Google

DuckDuckGo คืออะไร เครื่องมือค้นหาที่ถูกมองว่า “ปลอดภัย” ที่สุด

ค้นหาข้อมูลอย่างปลอดภัยด้วย DuckDuckGo คือ Search Engine ที่ให้ความสำคัญกับความสำคัญของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ ไม่มีการเก็บประวัติ ไร้การยิงแอดติดตาม

แจกตัวอย่าง PDCA ในการทํางาน (Plan-Do-Check-Act)

เรียนรู้ PDCA คืออะไร มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร พร้อมตัวอย่าง PDCA ในการทำงานจริงของเอเจนซี่ SEO ร้านอาหาร และโรงงานผลิตเสื้อผ้าที่เห็นผลจริง

Yoast SEO เครื่องมือปรับแต่ง SEO บน WordPress

รู้จัก Yoast SEO คืออะไร เครื่องมือช่วยปรับแต่ง SEO ยอดนิยมบนเว็บไซต์ WordPress พร้อมเช็กลิสต์ใช้ตรวจสอบโครงสร้างเนื้อหา ไต่อันดับสูงบน Google

DuckDuckGo คืออะไร เครื่องมือค้นหาที่ถูกมองว่า “ปลอดภัย” ที่สุด

ค้นหาข้อมูลอย่างปลอดภัยด้วย DuckDuckGo คือ Search Engine ที่ให้ความสำคัญกับความสำคัญของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ ไม่มีการเก็บประวัติ ไร้การยิงแอดติดตาม

แจกตัวอย่าง PDCA ในการทํางาน (Plan-Do-Check-Act)

เรียนรู้ PDCA คืออะไร มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร พร้อมตัวอย่าง PDCA ในการทำงานจริงของเอเจนซี่ SEO ร้านอาหาร และโรงงานผลิตเสื้อผ้าที่เห็นผลจริง

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ