พฤติกรรมผู้อ่านยุคใหม่ อ่านน้อยลง เริ่มแสกนมากขึ้น

ANGA Mastery

13 AUGUST 24

200

MASTERY-COVER-JUL-10.webp

คุณรู้ตัวไหมว่า? ทุกวันนี้พฤติกรรมการอ่านของคุณเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เคยอ่านอย่างละเอียดและลึกซึ้ง กลายเป็นการแสกนหาข้อมูลอย่างรวดเร็วและเลือกเฉพาะส่วนที่สนใจ ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อวิธีการที่ผู้คนบริโภคข้อมูล แต่ยังท้าทายนักเขียน นักการตลาดเนื้อหา และผู้ผลิตสื่อทุกแขนงให้ต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อ่านยุคใหม่ บทความนี้ ANGA Mastery จะพาคุณไปสำรวจพฤติกรรมการอ่านยุคใหม่อย่างลึกซึ้ง

ทำไมคนยุคใหม่ถึงอ่านน้อยลง?

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอ่านไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง มาทำความเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านี้ เพื่อช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม

1. ข้อมูลล้นหลาม เวลาจำกัด

ทุกวันนี้ข้อมูลมีมากมายมหาศาล แต่เวลาของเรามีจำกัด ผู้คนจำเป็นต้องคัดกรองและเลือกบริโภคเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นและน่าสนใจที่สุดเท่านั้น ทำให้การอ่านแบบละเอียดทุกบรรทัดจึงเป็นเรื่องยากและไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน

ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณในแต่ละวันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าต้องติดตามข่าวสารตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ ส่งผลให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลเกี่ยวกับการพลาดข้อมูลสำคัญ (FOMO - Fear of Missing Out) การแสกนข้อมูลจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับรู้ข้อมูลครบถ้วนในเวลาอันจำกัด

2. สมาธิสั้นลง เพราะสื่อดิจิทัล

การใช้สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการจดจ่อของมนุษย์ การรับชมวิดีโอสั้นๆ การเลื่อนดูโพสต์บนโซเชียลมีเดีย และการสลับไปมาระหว่างแอพพลิเคชั่นต่างๆ ทำให้สมองคุ้นชินกับการรับข้อมูลแบบฉับพลันและสั้นกระชับ

ผลการศึกษาจาก Microsoft ในปี 2015 พบว่า ความสามารถในการจดจ่อของมนุษย์ลดลงจาก 12 วินาทีในปี 2000 เหลือเพียง 8 วินาทีในปี 2013 ซึ่งน้อยกว่าปลาทองที่มีความสามารถในการจดจ่อ 9 วินาที แม้ว่าตัวเลขนี้อาจถูกโต้แย้งในภายหลัง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีต่อพฤติกรรมการรับรู้ข้อมูลของมนุษย์

3. ต้องการข้อมูลรวดเร็ว ทันใจ

ความเร็วของเทคโนโลยีทำให้ผู้คนคุ้นชินกับการได้ข้อมูลอย่างรวดเร็วและทันใจ การรอคอยกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับคนยุคดิจิทัล การอ่านแบบละเอียดจึงดูเป็นวิธีที่ช้าเกินไปสำหรับการรับข้อมูลในยุคปัจจุบัน

นอกจากนี้ การที่ข้อมูลสามารถอัพเดทได้ตลอดเวลาทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการอ่านอย่างละเอียดอาจเป็นการเสียเวลา เพราะข้อมูลอาจล้าสมัยได้อย่างรวดเร็ว การแสกนข้อมูลจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้พวกเขาสามารถติดตามข่าวสารและเทรนด์ล่าสุดได้อย่างทันท่วงที

พฤติกรรมการแสกนข้อมูลคืออะไร?

พฤติกรรมการแสกนข้อมูลคืออะไร

การแสกนข้อมูล (Information Scanning) คือ การอ่านแบบผ่านๆ อย่างรวดเร็ว โดยสายตาจะกวาดมองหาคำสำคัญ (Keywords) หัวข้อ (Headings) หรือประโยคที่โดดเด่น เพื่อจับใจความสำคัญของเนื้อหาโดยไม่ต้องอ่านทุกคำ วิธีนี้ช่วยให้ผู้อ่านประหยัดเวลาและได้ข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว

พฤติกรรมการแสกนข้อมูลไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการอ่านบนหน้าจอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ด้วย อย่างไรก็ตาม การออกแบบเว็บไซต์และการนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบดิจิทัลมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมและตอบสนองต่อพฤติกรรมนี้

รูปแบบการแสกนข้อมูล

นักวิจัยได้ระบุรูปแบบการแสกนข้อมูลที่พบบ่อยในการอ่านออนไลน์ ได้แก่

  • รูปแบบตัว F (F-Pattern) : ผู้อ่านจะกวาดสายตาจากซ้ายไปขวาที่ส่วนบนของหน้า จากนั้นเลื่อนลงมาอ่านบรรทัดถัดไปสั้นๆ สร้างรูปแบบคล้ายตัว F
  • รูปแบบตัว Z (Z-Pattern) : ผู้อ่านจะกวาดสายตาจากมุมบนซ้ายไปมุมบนขวา จากนั้นเฉียงลงมาทางซ้ายล่างและกวาดไปทางขวาอีกครั้ง คล้ายตัว Z
  • การกวาดตาแบบวงกลม (Layer-cake Pattern) : ผู้อ่านจะกวาดสายตาไปรอบๆ หน้าเว็บ โดยเน้นที่หัวข้อและจุดเด่นต่างๆ

ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการแสกนข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักออกแบบเว็บไซต์และนักเขียนเนื้อหา ในการจัดวางองค์ประกอบและข้อมูลสำคัญให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการอ่านของผู้ใช้

ข้อดีของการแสกนข้อมูล

  1. การแสกนข้อมูลมีข้อดีหลายประการที่ทำให้ได้รับความนิยมในยุคดิจิทัล
  2. ประหยัดเวลาในการอ่าน ผู้อ่านสามารถรับข้อมูลจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น
  3. ได้ข้อมูลสำคัญอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการตัดสินใจเร่งด่วนหรือการหาข้อมูลเฉพาะ
  4. สามารถคัดกรองเนื้อหาที่น่าสนใจได้ง่าย ช่วยให้ผู้อ่านเลือกเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ลดความเครียดจากข้อมูลล้นเกิน ช่วยจัดการกับปริมาณข้อมูลมหาศาลในชีวิตประจำวัน
  6. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องกลั่นกรองข้อมูลจำนวนมาก

ข้อเสียของการแสกนข้อมูล

แม้ว่าการแสกนข้อมูลจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียที่ควรระวัง เช่น

  1. อาจพลาดรายละเอียดสำคัญบางอย่าง เพราะการอ่านแบบผ่านๆ อาจทำให้ละเลยข้อมูลที่มีความสำคัญ
  2. อาจส่งผลต่อความเข้าใจเนื้อหาไม่ลึกซึ้งเท่าการอ่านแบบละเอียด ส่งผลต่อความเข้าใจในประเด็นที่ซับซ้อนหรือต้องการการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง
  3. การอ่านแบบรวดเร็วอาจนำไปสู่การสรุปที่ผิดพลาดหรือการเข้าใจผิดในบริบทของเนื้อหา
  4. การแสกนข้อมูลบ่อยเกินไปอาจทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลอย่างลึกซึ้งลดลง
  5. การรับข้อมูลแบบผิวเผินอาจทำให้จดจำข้อมูลได้ไม่ดีเท่าการอ่านอย่างละเอียด

วิธีปรับตัวของนักเขียนเพื่อเข้าถึงผู้อ่านยุคใหม่

วิธีปรับตัวของนักเขียนเพื่อเข้าถึงผู้อ่านยุคใหม่

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอ่านสู่การแสกนข้อมูล เป็นความท้าทายสำคัญสำหรับนักเขียนและนักการตลาดเนื้อหา การปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้อ่านยุคใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็น ต่อไปนี้คือวิธีการที่นักเขียนสามารถใช้เพื่อเข้าถึงผู้อ่านยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. เขียนแบบ Inverted Pyramid

เทคนิคการเขียนแบบปิรามิดกลับ (Inverted Pyramid) เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการสื่อสารมวลชนและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านยุคใหม่

วิธีการ

  • นำเสนอข้อมูลสำคัญที่สุดไว้ตอนต้นของบทความ
  • ใช้ย่อหน้าแรกเพื่อสรุปประเด็นหลักทั้งหมด
  • ค่อยๆ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนถัดไป

ข้อดี

  • ผู้อ่านได้ข้อมูลสำคัญทันทีแม้อ่านไม่จบ
  • เหมาะกับพฤติกรรมการแสกนข้อมูล
  • ช่วยให้ผู้อ่านตัดสินใจได้เร็วว่าต้องการอ่านต่อหรือไม่

2. ใช้หัวข้อและ Subheading อย่างมีประสิทธิภาพ

การแบ่งเนื้อหาเป็นส่วนๆ ด้วยหัวข้อและหัวข้อย่อยที่ชัดเจนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดความสนใจของผู้อ่านยุคใหม่

วิธีการ

  • ใช้หัวข้อหลัก (H1, H2) และหัวข้อย่อย (H3, H4) อย่างเป็นระบบ
  • เขียนหัวข้อให้กระชับ ตรงประเด็น และน่าสนใจ
  • ใช้คำสำคัญ (Keywords) ในหัวข้อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO

ข้อดี

  • ช่วยให้ผู้อ่านสามารถแสกนหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย
  • ทำให้เข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้รวดเร็ว
  • เพิ่มความน่าสนใจและความน่าอ่านให้กับบทความ

3. ใช้ Bullet Points และ Numbered Lists

การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบรายการ (Bullet Points) และรายการตัวเลข (Numbered Lists) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดสายตาและทำให้ข้อมูลเข้าใจง่าย

วิธีการ

  • ใช้ Bullet Points สำหรับรายการที่ไม่ต้องเรียงลำดับ
  • ใช้ Numbered Lists สำหรับขั้นตอนหรือรายการที่ต้องเรียงลำดับ
  • เขียนแต่ละข้อให้สั้น กระชับ และได้ใจความ

ข้อดี

  • ช่วยให้อ่านง่าย เข้าใจเร็ว และจดจำได้ดี
  • เหมาะสำหรับการสรุปประเด็นสำคัญหรือขั้นตอนต่างๆ
  • ดึงดูดสายตาผู้อ่านได้ดีในการแสกนข้อมูล

4. เน้นคำสำคัญด้วยตัวหนาหรือสี

การทำให้คำหรือวลีสำคัญโดดเด่นช่วยดึงดูดสายตาผู้อ่านและทำให้จับประเด็นสำคัญได้ง่ายขึ้น

วิธีการ

  • ใช้ตัวหนา (Bold) สำหรับคำหรือวลีสำคัญ
  • ใช้สีเน้นข้อความอย่างเหมาะสม (ไม่มากเกินไป)
  • ใช้ร่วมกับเทคนิคอื่นๆ เช่น การขึ้นย่อหน้าใหม่

 

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรใช้มากเกินไปจนรบกวนสายตา
  • เลือกใช้เฉพาะกับข้อความที่สำคัญจริงๆ

5. ใช้ภาพประกอบและ Infographic

การนำเสนอข้อมูลผ่านภาพหรือกราฟิกที่น่าสนใจช่วยดึงดูดความสนใจและอธิบายเนื้อหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้น

วิธีการ

  • ใช้ภาพประกอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
  • สร้าง Infographic สำหรับข้อมูลที่ซับซ้อนหรือมีตัวเลขมาก
  • ใช้แผนภูมิหรือไดอะแกรมเพื่ออธิบายกระบวนการหรือความสัมพันธ์

ข้อดี

  • ช่วยอธิบายเนื้อหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายและรวดเร็วขึ้น
  • เพิ่มความน่าสนใจให้กับบทความ
  • เหมาะสำหรับการแชร์บนโซเชียลมีเดีย

เทคนิคการเขียนเพื่อ SEO สำหรับผู้อ่านยุคใหม่

เทคนิคการเขียนเพื่อ SEO สำหรับผู้อ่านยุคใหม่

การเขียนเพื่อ SEO ในยุคที่ผู้อ่านนิยมแสกนข้อมูลต้องคำนึงถึงทั้งความต้องการของผู้อ่านและอัลกอริทึมของเสิร์ชเอนจิน ต่อไปนี้คือเทคนิคที่จะช่วยให้เนื้อหาของคุณติดอันดับ SEO และตอบโจทย์ผู้อ่านยุคใหม่

1. ใช้ประโยคและย่อหน้าสั้น

การเขียนประโยคสั้นๆ และแบ่งย่อหน้าให้กระชับช่วยให้อ่านง่ายและเหมาะกับการอ่านบนหน้าจอ

วิธีการ

  • เขียนประโยคที่มีความยาวไม่เกิน 20 คำ
  • แบ่งย่อหน้าให้มีความยาวประมาณ 2-3 ประโยค
  • ใช้คำเชื่อมที่เหมาะสมเพื่อให้เนื้อหาต่อเนื่อง

ข้อดี

  • เพิ่มความน่าอ่านและลดความเหนื่อยล้าของสายตา
  • เหมาะกับการอ่านบนอุปกรณ์มือถือ
  • ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น

2. ใส่ใจ Keyword Placement

การวาง Keywords อย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO

วิธีการ

  • ใช้ Primary Keyword ในหัวข้อหลัก (H1) และย่อหน้าแรก
  • กระจาย Secondary Keywords ตลอดเนื้อหา
  • ใช้ Long-tail Keywords ในหัวข้อย่อยและเนื้อหา

ข้อควรระวัง

  • ไม่ยัดเยียด Keywords จนเกินไป (Keyword Stuffing)
  • ใช้ Keywords อย่างเป็นธรรมชาติ

3. ใช้ Internal และ External Links

การเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกเว็บไซต์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้อ่าน

วิธีการ

  • ใช้ Internal Links เชื่อมโยงไปยังบทความอื่นๆ ในเว็บไซต์
  • ใช้ External Links อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
  • ใช้ Anchor Text ที่เกี่ยวข้องและเป็นธรรมชาติ

ข้อดี

  • ช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่าย
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา
  • ช่วยในการ Indexing ของเสิร์ชเอนจิน

4. เขียน Meta Description ที่น่าสนใจ

Meta Description เป็นส่วนสำคัญที่ปรากฏในหน้าผลการค้นหา การเขียน Meta Description ที่ดึงดูดใจช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (Click-Through Rate)

วิธีการ

  • เขียนให้กระชับภายใน 150-160 ตัวอักษร
  • ใส่ Primary Keyword อย่างเป็นธรรมชาติ
  • สรุปประเด็นสำคัญของบทความและเชิญชวนให้คลิก

ข้อควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำหรือไม่เกี่ยวข้อง
  • ไม่ควรหลอกลวงผู้อ่านด้วยข้อความที่เกินจริง

บทสรุปการปรับตัวเพื่อเข้าถึงผู้อ่านยุคดิจิทัล

ในโลกที่พฤติกรรมการอ่านเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จสำหรับนักเขียนและนักการตลาดเนื้อหา การเข้าใจพฤติกรรมผู้อ่านยุคใหม่ที่นิยมการแสกนข้อมูล ควบคู่ไปกับการใช้เทคนิคการเขียนที่มีประสิทธิภาพและการ Optimize สำหรับ SEO จะช่วยให้เนื้อหาของคุณโดดเด่นและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน การมองไปข้างหน้าและเตรียมพร้อมสำหรับแนวโน้มใหม่ๆ ในอนาคต จะช่วยให้คุณอยู่เหนือการแข่งขันและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง จำไว้เสมอว่า แม้เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงไป แต่หัวใจสำคัญของการสร้างเนื้อหาที่ดียังคงเป็นการนำเสนอคุณค่าและประโยชน์ให้แก่ผู้อ่านเสมอ

Related News

Flash Sale คืออะไร มีส่วนช่วยในการเร่งยอดขายอย่างไร

รวมทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับแฟลชเซลล์ Flash Sale คืออะไร ข้อดี ข้อเสียเหมาะกับธุรกิจแบบไหนบ้าง พร้อมแชร์เทคนิคการจัด Flash Saleในปี 2025

Cost Per Lead (CPL) คืออะไร คำนวณอย่างไร ทำไมคนยิงแอดต้องรู้

ทำความเข้าใจ Cost Per Lead คืออะไร ตั้งแต่วิธีคำนวณ สาเหตุที่ทำให้ Cost Per Lead (CPL) สูง พร้อมวิธีแก้ เพื่อผลลัพธ์จากการทำโฆษณาคุ้มค่าที่สุด

อาชีพ SEO Specialist คืออะไร เจาะลึกหน้าที่ ทักษะ และรายได้

ทำความรู้จักอาชีพ SEO Specialist คืออะไร ตำแหน่งนี้มีหน้าที่อะไรบ้าง ต้องมีทักษะอะไรติดตัว หางานยากไหม และได้เงินเดือนเท่าไหร่ อัปเดต 2025

Flash Sale คืออะไร มีส่วนช่วยในการเร่งยอดขายอย่างไร

รวมทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับแฟลชเซลล์ Flash Sale คืออะไร ข้อดี ข้อเสียเหมาะกับธุรกิจแบบไหนบ้าง พร้อมแชร์เทคนิคการจัด Flash Saleในปี 2025

Cost Per Lead (CPL) คืออะไร คำนวณอย่างไร ทำไมคนยิงแอดต้องรู้

ทำความเข้าใจ Cost Per Lead คืออะไร ตั้งแต่วิธีคำนวณ สาเหตุที่ทำให้ Cost Per Lead (CPL) สูง พร้อมวิธีแก้ เพื่อผลลัพธ์จากการทำโฆษณาคุ้มค่าที่สุด

อาชีพ SEO Specialist คืออะไร เจาะลึกหน้าที่ ทักษะ และรายได้

ทำความรู้จักอาชีพ SEO Specialist คืออะไร ตำแหน่งนี้มีหน้าที่อะไรบ้าง ต้องมีทักษะอะไรติดตัว หางานยากไหม และได้เงินเดือนเท่าไหร่ อัปเดต 2025

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ