30 OCTOBER 24
35
คนส่วนใหญ่ทั้งโลก ซึ่งรวมถึงคนไทยด้วยนั้น มักจะค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บน Search Engine อย่าง Google กันเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะสิ่งนี้สามารถมอบคำตอบที่ผู้ค้นหาต้องการได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ข้อมูลความรู้ แต่ยังรวมถึงสินค้าบริการ สื่อ และธุรกิจต่าง ๆ ด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจะบอกว่า Search Engine คือช่องทางหนึ่งในการทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก ช่วยเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจ และนำพาธุรกิจไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ก็ย่อมได้ มาสร้างโอกาสให้แก่ธุรกิจของคุณด้วยการทำการตลาดผ่าน Search Engine กันดีกว่า!
แต่ก่อนอื่นเลยต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าเว็บ Search Engine คืออะไร มีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง สามารถแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท พร้อมกับยกตัวอย่าง Search Engine ก่อนที่จะไปแนะนำวิธีทำการตลาดผ่าน Search Engine ให้ทราบกัน
Search Engine คือเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นให้ผู้ใช้งาน (User) สามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตได้ โดย Search Engine จะแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือแผนที่ รูปภาพ และวิดีโอ ซึ่ง Search Engine จะแสดงข้อมูลก็ต่อเมื่อผู้ค้นหาป้อนคีย์เวิร์ด (Keyword) อันเป็นถ้อยคำหรือวลีไปบน Search Bar จากนั้นอัลกอริทึมของ Search Engine ก็จะวิเคราะห์และจัดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดนั้นมาให้ผู้ใช้งานเลือกตั้งแต่อันดับ 1-100 โดยจะแบ่งออกเป็นหน้าละ 10 อันดับ
การทำงานของ Search Engine สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอน คือ Crawling (การเข้าไปเก็บรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ), Indexing (การจัดทำดัชนี หรือเก็บข้อมูลเข้าสู่ฐานระบบของ Search Engine) และ Ranking (การจัดอันดับผลลัพธ์) แต่ในปัจจุบันนี้ Google เป็น Search Engine ที่มีการทำงานแตกต่างจากเจ้าอื่น ๆ เพราะได้เปลี่ยนจาก Ranking เป็น Serving แทน
โดย Serving คือการแสดงผลการค้นหาที่ตรงกับเจตนาและความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด ผ่านการตีความเจตนาของผู้ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่ใช้ในการค้นหาจริง และจะโฟกัสไปที่คำหลัก ๆ เท่านั้น ไม่ได้สนใจคำฟุ่มเฟือยที่ไม่มีความหมายเท่าไหร่นัก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ Google ประกาศออกมาเอง ในงาน Google Search Central Live 2024 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2024 ณ โรงแรมคาร์ลตัน กรุงเทพ สุขุมวิท ในประเทศไทยของเรานี่เอง
Search Engine หมายถึงโปรแกรมหรือเครื่องมือที่ใช้สำหรับค้นหาสิ่งต่าง ๆ บนโลกดิจิทัล ซึ่งชุดข้อมูลนั้นมีอยู่เยอะมาก เราจึงสามารถแบ่ง Search Engine ออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
เครื่องมือค้นหาหรือ Search Engine มีให้เลือกใช้หลากหลายแพลตฟอร์ม ทำให้ Search Engine ได้รับความนิยมแตกต่างกันในแต่ละประเทศ อย่างในประเทศไทยเองก็จะคุ้นเคยและใช้งาน Google มากกว่า Search Engine ตัวอื่น ๆ
Google เป็น Search Engine ที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในโลก เพราะ Google มีฐานเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ มีอัลกอริทึมที่ซับซ้อน และยังมีการอัปเดตอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่องด้วย ทำให้ Google มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่ครอบคลุมและแม่นยำ จนสามารถมอบคำตอบที่ผู้ใช้งานต้องการได้ ไม่เพียงเท่านั้น Google ยังมีบริการเสริมอื่น ๆ ที่ช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งานอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Google Maps, Google My Business, Google Chrome, Google Workspace ฯลฯ
Yahoo! คือ Search Engine ที่มีมานานแล้วเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงกันในประเทศไทย แต่ Yahoo! ได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่นมาก ซึ่งบริการที่ Yahoo! มี ไม่ได้มีเพียงเครื่องมือค้นหาข้อมูลเท่านั้น แต่ยังมีบริการในส่วนของ Yahoo! Email, Yahoo! News, Yahoo! Finance และอื่น ๆ ให้ใช้งานด้วย
Baidu เป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมในจีน อย่างแรกเลยคือ Baidu ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน อีกทั้งยังมีฟีเจอร์การใช้งานและข้อมูลที่เป็นภาษาจีนอันตอบโจทย์กับผู้ใช้งานชาวจีนสูงนั่นเอง
Bing คือ Search Engine ที่พัฒนาโดย Microsoft มีจุดเด่นในการแสดงผลการค้นหาที่สวยงามและมีฟีเจอร์พิเศษ ๆ มากมาย เช่น การค้นหารูปภาพและวิดีโอที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Bing ยังเป็นเครื่องมือค้นหาหลักที่ใช้ใน Microsoft Edge และระบบปฏิบัติการ Windows ด้วย
YouTube นับเป็น Search Engine เช่นกัน แต่จะเน้นไปที่การค้นหาข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของวิดีโอ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริการของ Google โดยเนื้อหาบน YouTube จะมีทุกประเภทเลย ทั้งข้อมูลด้านการศึกษา ข้อมูลความรู้ด้านต่าง ๆ หรือความบันเทิงทุกรูปแบบ (เราสามารถทำ YouTube SEO เพื่อให้คลิปวิดีโอบนช่อง YouTube ของเราติดอันดับบนหน้าแสดงผลลัพธ์ เพื่อสร้างโอกาสให้ยอดวิวและผู้ติดตามเพิ่มขึ้นได้นะ)
การทำการตลาดบนเครื่องมือค้นหา เรียกว่า SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing โดยการทำ SEM สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือส่วนของ Organic และส่วนของ Advertising มาเริ่มเจาะลึกรายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์การทำการตลาดผ่าน Search Engine แต่ละส่วนกัน
SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ Search Engine นำเว็บไซต์ไปแสดงบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERPs : Search Engine Results Page) และเว็บไซต์ควรอยู่ในตำแหน่งดี ๆ อย่าง Top 3 หรือไม่เกิน Top 10 จึงจะเป็นการดีที่สุด เพราะยิ่งอยู่ในอันดับสูงเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสที่คนจะมองเห็นและคลิกเข้ามาบนเว็บไซต์มากขึ้นเท่านั้น จนเกิดเป็น Organic Traffic มหาศาลที่เราไม่ต้องเสียเงินยิงโฆษณาทุก ๆ วัน
การทำ SEO สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ดังนี้
PPC (Pay Per Click) คือการทำโฆษณาผ่าน Search Engine อย่างเช่น Google Ads ซึ่งจะเก็บเงินค่าโฆษณากับผู้ลงโฆษณาก็ต่อเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาเท่านั้น นั่นแปลว่าถ้าคุณยิงโฆษณาไป แล้วมีคนมองเห็นเฉย ๆ แต่ไม่ได้คลิก ผู้ลงโฆษณาก็จะไม่เสียเงินแต่อย่างใด ด้วยความที่ PPC เป็นการเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ Search Engine เพิ่มเติม จึงทำให้เว็บไซต์หรือเนื้อหาของคุณเข้าถึงผู้ใช้บน Search Engine ได้มากกว่าและเร็วกว่าการทำ SEO ดังนั้น PPC จึงเหมาะกับธุรกิจใหม่ ๆ หรือธุรกิจที่อยากได้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว
Search Engine คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์เติบโตในปี 2025 ด้วยการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าผ่านการที่ลูกค้าค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บน Search Engine แล้วมาเจอกับธุรกิจของเรา จากการที่เราทำการตลาดบนเครื่องมือค้นหา (Search Engine Marketing) ซึ่ง ANGA Mastery ก็แนะนำให้คุณทำควบคู่กันไป ทั้งการยิงโฆษณา และการทำ SEO เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบ Organic (ถ้าไม่ได้ยิงโฆษณา ก็ยังมี Traffic จากวิธีนี้เข้ามาสู่เว็บไซต์อยู่)
พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์
24 NOVEMBER
ASEO (Adaptive Search Engine Optimization) การทำ SEO รูปแบบใหม่ ติดอันดับได้ง่ายและเร็วใน Google และ AI platforms
24 NOVEMBER
24 NOVEMBER
31 OCTOBER
30 OCTOBER
30 OCTOBER
ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ