เคยสังเกตไหมว่าทำไมเวลาเราเดินอิเกียถึงหาของได้ง่ายจัง? แม้จะมีสินค้าเป็นหมื่นชิ้น แต่เราก็สามารถเดินตามป้าย ตามโซน จนเจอสิ่งที่ต้องการได้แทบจะทุกครั้ง นั่นเพราะพวกเขาใส่ใจเรื่องการจัดวางและการนำทางนั่นเอง เว็บไซต์ก็เช่นกัน การมีโครงสร้างที่ดีจะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกเหมือนมีไกด์ส่วนตัวพาเดินชมร้าน ไม่หลงทาง ไม่สับสน และได้ข้อมูลที่ต้องการอย่างครบถ้วน
ทำความรู้จักโครงสร้างเว็บไซต์ให้เข้าใจง่ายๆ
โครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) คือการวางแผนว่าผู้เข้าชมจะได้พบเจอและเข้าถึงข้อมูลอย่างไร จะเริ่มต้นจากไหน และจะไปต่อที่ไหนได้บ้าง เหมือนกับการออกแบบเส้นทางเดินในห้างสรรพสินค้า ที่ต้องคำนึงว่าลูกค้าจะเดินอย่างไรถึงจะสะดวก และได้เห็นสินค้าครบถ้วนตามที่เขาต้องการ
การวางโครงสร้างเว็บที่ดีจะช่วยให้คนอยากอยู่ในเว็บเรานานขึ้น เหมือนกับห้างที่จัดร้านสวย เดินสบาย คนก็อยากเดินต่อ ไม่รีบกลับ ที่สำคัญ Google ก็ชอบเว็บที่มีโครงสร้างดีด้วย เพราะเขาสามารถเข้าใจได้ว่าเว็บเราเกี่ยวกับอะไร และควรจะแสดงให้คนค้นหาเจอในช่วงไหน
เจาะลึกโครงสร้างเว็บตัวอย่าง
เวลาเราจะสร้างบ้าน เราต้องเลือกแบบบ้านที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา โครงสร้างเว็บไซต์ก็เช่นกัน มีหลายแบบให้เลือกตามความเหมาะสม
แบบเรียงลำดับ (Linear Structure)
เหมาะสำหรับคนที่อยากเล่าเรื่องหรือสอนอะไรเป็นขั้นเป็นตอน เหมือนกับหนังสือที่อ่านไปทีละบท จบบทนึงก็ไปบทต่อไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือพวกคอร์สเรียนออนไลน์ หรือขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้า ที่ต้องทำตามลำดับ จะข้ามไปทำข้อ 3 ก่อนข้อ 1 ไม่ได้
แบบลำดับชั้น (Hierarchical Structure)
นี่คือแบบที่คนนิยมใช้กันมากที่สุด เพราะเข้าใจง่าย จัดระเบียบดี เหมือนกับการจัดตู้เสื้อผ้าที่แยกเป็นหมวดใหญ่ๆ ก่อน แล้วค่อยแยกย่อยลงไป เช่น เสื้อผ้าผู้ชาย > เสื้อเชิ้ต > เสื้อเชิ้ตแขนสั้น เหมาะกับเว็บที่มีเนื้อหาหรือสินค้าเยอะๆ
แบบใยแมงมุม (Web Structure)
เหมาะกับเว็บที่อยากให้คนกระโดดไปมาได้อิสระ ไม่ต้องเป็นขั้นเป็นตอน เหมือนกับการอ่านวิกิพีเดียที่เราสามารถคลิกลิงก์ไปอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องได้เรื่อยๆ ตามความสนใจ
เทคนิคการจัดการโครงสร้างเว็บให้น่าใช้
การทำให้เว็บน่าใช้ไม่ต่างจากการจัดบ้านให้น่าอยู่ มีหลักการง่ายๆ ดังนี้
การจัดระเบียบเมนู
เมนูควรเหมือนป้ายบอกทางที่ชัดเจน ไม่ต้องคิดมาก เห็นปุ๊บเข้าใจปั๊บว่าจะไปไหนต่อ ลองนึกถึงตอนที่เราเข้าร้านกาแฟดังๆ เราจะเห็นเมนูที่แบ่งเป็นหมวดชัดเจน ทั้งเครื่องดื่มร้อน เย็น ขนม อาหาร ทำให้สั่งง่าย ไม่สับสน
แนะนำให้จัดเมนูหลักไม่เกิน 7 รายการ เพราะคนเราจำได้ดีในระยะสั้นแค่ 5-7 อย่าง ถ้ามีเยอะกว่านี้ให้แตกเป็นเมนูย่อยดีกว่า
การเชื่อมโยงเนื้อหา
นี่คือส่วนที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คนอยู่กับเว็บเรานานขึ้น วิธีการคือ เวลาเขียนเนื้อหาให้คิดว่า “ถ้าคนอ่านเรื่องนี้จบ เขาน่าจะอยากรู้เรื่องอะไรต่อ?” แล้วใส่ลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องนั้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเขียนบทความสอนแต่งหน้า เราก็ควรมีลิงก์ไปบทความรีวิวเครื่องสำอาง หรือเทคนิคการเลือกซื้อแปรงแต่งหน้า เป็นต้น
การจัดการ URL ให้เป็นมิตร
URL ก็เหมือนที่อยู่บ้านของเรา ถ้าบอกที่อยู่ชัดเจน คนก็มาหาเราได้ง่าย Google ก็เช่นกัน เขาชอบ URL ที่อ่านแล้วเข้าใจว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไร
- ตัวอย่างที่ดี : www.เว็บคุณ.com/รองเท้าผ้าใบ/แบรนด์-nike/รุ่น-air-max
- ดีกว่าแบบนี้มากๆ : www.เว็บคุณ.com/products.php?id=123&cat=456
ทำไมถึงดีกว่า? เพราะทั้งคนและ Google อ่านแล้วเข้าใจทันทีว่าหน้านี้ขายรองเท้า Nike Air Max ไม่ต้องมานั่งถอดรหัสว่า id=123 คืออะไร
การทำให้ Google รัก เทคนิค SEO สำหรับโครงสร้างเว็บ
Google ชอบเว็บที่จัดระเบียบดี เหมือนกับที่เราชอบเข้าร้านที่จัดของเป็นระเบียบ หยิบง่าย หาสะดวก มาดูกันว่าเราจะทำยังไงให้ Google ชอบเว็บเรา
การจัดกลุ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง (Content Siloing)
เปรียบเสมือนการจัดร้านหนังสือ ที่จะมีมุมนิยาย มุมหนังสือท่องเที่ยว มุมหนังสือธุรกิจ แยกกันชัดเจน เว็บเราก็ควรจัดกลุ่มเนื้อหาแบบนี้เช่นกัน เช่น ถ้าเราทำเว็บรีวิวร้านอาหาร อาจจะแบ่งเป็น:
- โซนร้านอาหารญี่ปุ่น รวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่น ทั้งร้านซูชิ ราเมน อุด้ง
- โซนร้านกาแฟ รวมทั้งคาเฟ่ ร้านเบเกอรี่ ชานมไข่มุก
- โซนอาหารไทย แยกเป็นอาหารอีสาน อาหารใต้ อาหารเหนือ
แต่ละโซนควรมีหน้าหลักที่อธิบายภาพรวม แล้วค่อยลิงก์ไปหน้าย่อยที่มีรายละเอียดเพิ่มเติม
เทคนิคการเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking)
การทำ Internal Linking ที่ดีเหมือนการวาง “เส้นทางแนะนำ” ในห้างสรรพสินค้า ที่จะมีป้ายบอกว่า “คุณอาจสนใจ…” หรือ “สินค้าที่เกี่ยวข้อง” โดยมีเทคนิคดังนี้:
เชื่อมโยงแบบมีความหมาย: ไม่ควรแค่บอกว่า “คลิกที่นี่” แต่ควรบอกว่าจะได้อะไรเมื่อคลิก เช่น “ดูเทคนิคการเลือกกล้องสำหรับมือใหม่” จะดีกว่า “คลิกที่นี่เพื่ออ่านต่อ”
เชื่อมโยงอย่างเป็นธรรมชาติ: ใส่ลิงก์ในจุดที่เกี่ยวข้องจริงๆ เช่น ถ้ากำลังเขียนถึงวิธีทำกาแฟดริป ก็ลิงก์ไปที่ “รีวิวเครื่องบดกาแฟ” หรือ “วิธีเลือกเมล็ดกาแฟ” ในจุดที่พูดถึงเรื่องนั้นๆ
เทคนิคการปรับปรุงโครงสร้างเว็บให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
การดูแลเว็บก็เหมือนการดูแลบ้าน ต้องหมั่นตรวจสอบและปรับปรุงอยู่เสมอ
การตรวจสอบประสิทธิภาพ
ลองสังเกตพฤติกรรมคนเข้าเว็บ
- เขาอยู่นานไหม? ถ้าเข้ามาแล้วออกเร็ว อาจต้องปรับการนำเสนอ
- เขาคลิกอะไรบ้าง? หน้าไหนมีคนสนใจมาก หน้าไหนไม่มีคนเข้า
- เขาหาข้อมูลเจอง่ายไหม? ถ้ามีคนใช้ช่องค้นหาบ่อย แสดงว่าหาข้อมูลยาก
การแก้ไขจุดอ่อน
- หน้าที่ไม่มีคนเข้า: อาจต้องย้ายตำแหน่งลิงก์ให้เด่นขึ้น หรือปรับชื่อเมนูให้น่าสนใจ เหมือนร้านค้าที่ย้ายสินค้าที่ขายไม่ดีไปไว้จุดที่คนเห็นง่ายขึ้น
- เนื้อหาที่ซ้ำซ้อน: รวมหน้าที่เนื้อหาคล้ายกันเข้าด้วยกัน ทำให้เนื้อหาสมบูรณ์ขึ้น แทนที่จะมีหลายหน้าแต่ข้อมูลกระจัดกระจาย
สรุป จะเริ่มต้นวางโครงสร้างเว็บอย่างไรดี?
การทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จนั้น การเรียนรู้เรื่อง SEO ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะการวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น จะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรในการแก้ไขภายหลังได้มาก
ถ้าคุณอยากเริ่มต้นอย่างมืออาชีพ การเรียน SEO กับผู้เชี่ยวชาญโดยตรงอย่าง ANGA Mastery จะช่วยให้คุณเข้าใจทั้งภาพรวมและรายละเอียดปลีกย่อยในการวางโครงสร้างเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้ทฤษฎีแล้ว คุณยังจะได้เห็นตัวอย่างจริงจากประสบการณ์การรับทำ SEO ให้ลูกค้าชั้นนำมากกว่า 300 ราย
แต่ถ้าจะเริ่มลงมือทำด้วยตัวเองตอนนี้ ลองเริ่มจาก
- สำรวจเว็บไซต์ของคุณ ทำความเข้าใจว่ามีเนื้อหาอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง
- วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ ว่าเขาหาข้อมูลเจอง่ายไหม ติดปัญหาตรงไหน
- รวบรวมฟีดแบ็กจากผู้ใช้จริง เพื่อนำมาปรับปรุง
- ค่อยๆ ปรับปรุงทีละส่วน พร้อมวัดผลอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายนี้ จำไว้ว่าการวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีไม่ได้จบแค่การจัดหมวดหมู่หรือทำเมนู แต่ต้องผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์ของการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังต้องใช้งานง่าย ค้นหาง่าย และติดอันดับ Google ได้ด้วย