การทำ SEO ในปี 2025 ไม่ใช่แค่เรื่องของการใส่คีย์เวิร์ดหรือสร้าง Backlinks อีกต่อไป แต่ Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหาและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้ามคือ E-E-A-T Factor ที่เพิ่งได้รับการอัปเดตจาก Google
ในบทความนี้ ANGA Mastery เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ E-E-A-T คืออะไร ทำไมถึงสำคัญต่อการทำ SEO คือยังไง และที่สำคัญที่สุด คุณจะสามารถนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างไร เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันบนโลกเว็บไซต์ธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลากันบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย
E-E-A-T คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?
E-E-A-T คือ อัลกอริทึมสำคัญที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ โดยย่อมาจาก Experience (ประสบการณ์), Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความมีอำนาจ) และ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)
ในปี 2025 E-E-A-T Factor กลายเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญที่ผู้ทำ SEO ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจาก Google ต้องการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน โดยการแสดงผลการค้นหาที่มาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพสูง
ความเปลี่ยนแปลงจาก E-A-T สู่ E-E-A-T Factor
Google ได้เพิ่มตัว E ตัวแรกที่หมายถึง Experience เข้ามาในปลายปี 2022 เพื่อให้ความสำคัญกับประสบการณ์จริงของผู้เขียนเนื้อหามากขึ้น การอัปเดตนี้สะท้อนให้เห็นว่า Google ไม่ได้ต้องการแค่ความรู้ทางทฤษฎี แต่ยังต้องการประสบการณ์ตรงที่จะช่วยให้เนื้อหามีความน่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์มากขึ้น
องค์ประกอบหลักของ E-E-A-T

E-E-A-T ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบสำคัญที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ มาทำความเข้าใจแต่ละองค์ประกอบกันอย่างละเอียด
1. Experience (E) – ประสบการณ์
ประสบการณ์เป็นองค์ประกอบใหม่ที่ Google เพิ่มเข้ามาเพื่อให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มาจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่เพียงแค่การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งอื่นเท่านั้น
การแสดงประสบการณ์ที่มีคุณค่าสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การเล่าประสบการณ์ตรงในการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ การแชร์เทคนิคที่ได้จากการทำงานจริง หรือการนำเสนอกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ
ตัวอย่างเช่น หากคุณเขียนรีวิวร้านอาหาร การไปรับประทานจริงและถ่ายภาพอาหารด้วยตัวเอง จะมีคุณค่ามากกว่าการนำข้อมูลและรูปภาพจากที่อื่นมาเรียบเรียงใหม่
2. Expertise (E) – ความเชี่ยวชาญ
ความเชี่ยวชาญสะท้อนถึงความรู้ความสามารถเชิงลึกในสาขานั้นๆ Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญจริง โดยเฉพาะในหัวข้อที่เกี่ยวกับ YMYL (Your Money Your Life) เช่น การเงิน สุขภาพ หรือกฎหมาย
การแสดงความเชี่ยวชาญสามารถทำได้โดย
- นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่แสดงความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ อย่างถ่องแท้
- อ้างอิงงานวิจัย สถิติ หรือข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
- แสดงวุฒิการศึกษา ประกาศนียบัตร หรือใบรับรองที่เกี่ยวข้อง
- อัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยตามการเปลี่ยนแปลงของวงการนั้นๆ
3. Authoritativeness (A) – ความมีอำนาจ
ความมีอำนาจไม่ได้หมายถึงการมีตำแหน่งสูง แต่หมายถึงการเป็นที่ยอมรับและได้รับการอ้างอิงในวงการนั้นๆ Google จะพิจารณาว่าเว็บไซต์และผู้เขียนเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเพียงใด
การสร้างความมีอำนาจสามารถทำได้ผ่าน
- การได้รับการกล่าวถึงในสื่อชั้นนำหรือเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
- การมี Backlink คุณภาพจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม
- การได้รับเชิญเป็นวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญในงานสำคัญ
- การมีผลงานที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
4. Trustworthiness (T) – ความน่าเชื่อถือ
ความน่าเชื่อถือเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของ E-E-A-T เพราะแม้จะมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความมีอำนาจ แต่หากขาดความน่าเชื่อถือ ก็ไม่อาจประสบความสำเร็จในระยะยาวได้
การสร้างความน่าเชื่อถือประกอบด้วย
- การนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ตรวจสอบได้ และมีการอ้างอิงแหล่งที่มา
- การมีนโยบายความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่ชัดเจน
- การแสดงข้อมูลการติดต่อและที่อยู่จริงขององค์กร
- การรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่นำเสนอและพร้อมแก้ไขหากมีข้อผิดพลาด
- การมีระบบรับประกันความพึงพอใจหรือการคืนเงินที่ชัดเจน (สำหรับธุรกิจ E-commerce)
การพัฒนาทั้ง 4 องค์ประกอบนี้อย่างสมดุลและต่อเนื่องจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือในสายตาของทั้ง Google และผู้ใช้งาน ส่งผลดีต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาและการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
วิธีการปรับปรุงเว็บไซต์ตามหลัก E-E-A-T
การพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลัก E-E-A-T ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันเดียว แต่ต้องอาศัยการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ มาดูวิธีทำ SEO ในการปรับปรุงในแต่ละด้านกัน
1. พัฒนาคุณภาพเนื้อหา (Content Quality Development)
การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพเป็นรากฐานสำคัญของ E-E-A-T เนื้อหาที่ดีต้องไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ผู้อ่าน แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือด้วย
การสร้างเนื้อหาที่มีความลึกและครอบคลุม
- วิเคราะห์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด
- นำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนทุกแง่มุม ไม่ใช่แค่ข้อมูลผิวเผิน
- ใช้ข้อมูล สถิติ และตัวอย่างประกอบเพื่อสนับสนุนเนื้อหา
- อัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอตามการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม
การแสดงตัวตนและความเชี่ยวชาญของผู้เขียน
- สร้างหน้าประวัติผู้เขียน (Author Bio) ที่แสดงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
- เพิ่มรูปภาพและข้อมูลการติดต่อของผู้เขียน
- แสดงผลงานและความสำเร็จที่ผ่านมา
- เชื่อมโยงกับโปรไฟล์โซเชียลมีเดียทางวิชาชีพ เช่น LinkedIn
2. เพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ (Website Credibility Enhancement)
ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้และ Google ไว้วางใจในเนื้อหาของคุณ
การแสดงข้อมูลองค์กรอย่างโปร่งใส
- จัดทำหน้า About Us ที่บอกเล่าประวัติ วิสัยทัศน์ และพันธกิจขององค์กร
- แสดงที่อยู่ทางกายภาพและข้อมูลการติดต่อที่ครบถ้วน
- เพิ่มรูปภาพทีมงานและสำนักงานจริง
- แสดงเบอร์โทรศัพท์และอีเมลที่ใช้งานได้จริง
การสร้างความเชื่อมั่นด้วยการรับรอง
- แสดงใบรับรองมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
- นำเสนอรางวัลและความสำเร็จขององค์กร
- แสดงโลโก้พาร์ทเนอร์และการรับรองความปลอดภัยของเว็บไซต์
- รวบรวมและแสดงรีวิวจากลูกค้าจริง
3. สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี (User Experience Optimization)
การออกแบบ UX UI เพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีไม่เพียงช่วยให้ผู้เข้าชมพึงพอใจ แต่ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับใน Google ด้วย
การพัฒนาการใช้งานเว็บไซต์
- ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้เข้าใจง่ายและนำทางสะดวก
- จัดวางเมนูและปุ่มกดให้ใช้งานได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- ปรับแต่งฟอนต์และสีให้อ่านง่าย สบายตา
- สร้างระบบค้นหาภายในเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพ
การปรับปรุงประสิทธิภาพทางเทคนิค
- เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
- ปรับแต่งการแสดงผลบนมือถือให้สมบูรณ์
- ติดตั้ง SSL Certificate เพื่อความปลอดภัย
- ตรวจสอบและแก้ไขลิงก์เสียอย่างสม่ำเสมอ
4. สร้างเครือข่ายและการเชื่อมโยง (Network Building & Linking)
การสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายที่แข็งแกร่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอำนาจให้กับเว็บไซต์ของคุณ
การพัฒนาความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม
- เข้าร่วมกิจกรรมและงานสัมมนาในอุตสาหกรรม
- สร้างความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและแบรนด์ชั้นนำ
- แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ผ่านบล็อกและโซเชียลมีเดีย
- สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและนำเสนอมุมมองที่มีคุณค่า
การพัฒนาระบบลิงก์ที่มีคุณภาพ
- สร้าง Internal Linking ที่เชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรมชาติ
- พัฒนา Content Silo เพื่อจัดกลุ่มเนื้อหาอย่างเป็นระบบ
- สร้าง Backlink คุณภาพผ่านการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า
- ตรวจสอบและจัดการลิงก์เสียอย่างสม่ำเสมอ
การปรับปรุงเว็บไซต์ตามหลัก E-E-A-T เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยความทุ่มเทและความสม่ำเสมอ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากับการลงทุน ทั้งในแง่ของการจัดอันดับใน Google และความเชื่อมั่นจากผู้ใช้งาน
สรุปการนำ E-E-A-T ไปใช้กับเว็บไซต์ธุรกิจ
E-E-A-T Factor ไม่ใช่เพียงแค่แนวทางการทำ SEO แต่เป็นหลักการสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและน่าเชื่อถือในสายตา Google และผู้ใช้งาน การพัฒนาเว็บไซต์ตามหลัก E-E-A-T อย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในระยะยาว
สิ่งสำคัญที่สุดคือการมุ่งเน้นที่คุณภาพและประโยชน์ที่ผู้ใช้งานจะได้รับ หากคุณสามารถสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า แสดงความเชี่ยวชาญที่แท้จริง และรักษามาตรฐานความน่าเชื่อถือไว้ได้ การจัดอันดับที่ดีใน Google จะเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ด้วยคอร์สเรียน SEO Strategy for Executives และ คอร์สเรียน Google Analytics 4 ที่ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ คุณจะเข้าใจวิธีการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า การแสดงความเชี่ยวชาญที่แท้จริง และการรักษามาตรฐานความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีใน Google อย่างเป็นธรรมชาติ
หากคุณพร้อมที่จะยกระดับธุรกิจด้วยความรู้ด้าน SEO และการตลาดดิจิทัลที่ครบถ้วน ติดต่อ ANGA Mastery วันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับหลักสูตรที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ