Public Training คืออะไร ทำไมองค์กรควรส่งพนักงานไปอบรม

By Rachavit Whangpatanathon I MD at ANGA Group

02 DECEMBER 24

1.3k

13.webp

การพัฒนาบุคลากรถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งพนักงานไปอบรมภายนอกหรือ Public Training คือวิธีที่ช่วยเพิ่มศักยภาพและเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าอบรมจากหลากหลายองค์กร พร้อมทั้งเรียนรู้แนวคิดและเทคนิคด้านต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้จริง ANGA Mastery จะพาคุณไปทำความรู้จักว่า Public Training คืออะไร ต่างกับ In-house Training อย่างไรและเหตุผลที่องค์กรควรส่งพนักงานอบรมนอกสถานที่คืออะไรผ่านบทความนี้

Public Training คืออะไร

Public Training คือการอบรมภายนอกองค์กร ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาบุคลากรที่เปิดโอกาสให้พนักงานจากหลากหลายองค์กรได้มาเข้าร่วมการอบรมร่วมกัน โดยมักจะอยู่ในรูปแบบของคอร์สเรียนที่สถาบันหรือหน่วยงานต่าง ๆ จัดขึ้น สถาบันเหล่านั้นจะเปิดคอร์สเรียนหรือเปิดคลาสอบรมแบบ Public Training ในเรื่องที่ตัวเองเชี่ยวชาญ อย่าง ANGA Matery หรือที่บางคนอาจจะรู้จักในนามของ ANGA เป็นเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านบริการรับทำ SEO และ Performace Marketing จึงเปิดสอน SEO ในรูปแบบของ Public Training เพื่อรองรับผู้เรียนที่สนใจเรื่องการทำ SEO หรือพนักงานทีมการตลาดจากองค์กรต่าง ๆ เป็นต้น

เหตุผลที่ควรส่งพนักงานไปอบรม Public Training คืออะไร

การส่งพนักงานไปอบรมภายนอกองค์กรถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะหลักสูตรการอบรมพนักงาน สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีทักษะด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะการเรียนวิธียิงแอด เรียนรู้วิธีการใช้ Google Analytics หรือ แม้กระทั่งการเรียนรู้ทักษะผู้บริหาร เพื่อเตรียมความพร้อมให้พนักงานทุกคนในการเติบโต ซึ่ง Public Training จะเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านโดยตรง พบปะพบเจอผู้คนที่จากหลายสาขาอาชีพ หลายช่วงอายุวัย และทุกคนมีประสบการณ์ในด้านนั้นแตกต่างกันไป ทำให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนมุมมองและมีคอนเนคชั่นเพิ่ม ซึ่งพวกเขาอาจจะกลายมาเป็นพาร์ทเนอร์กับองค์กรของคุณในอนาคตก็ได้

นอกจากนี้ คงไม่พ้นเรื่องของค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องแบกรับ หากต้องการจัดอบรมเองภายในองค์กร เพราะไหนจะค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้มาสอนหรือบรรยายให้ ค่าอุปกรณ์ หรือค่าระบบเสียง แล้วยังต้องเสียเวลาในการเตรียมงานด้วย รวมถึงเรื่องที่จะเทรนอาจจะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับบางบุคคลเท่านั้น  บอกเลยว่าถ้าองค์กรจะจัด In-house Training เอง มันทั้งเหนื่อยและไม่คุ้มเลย ดังนั้น การเลือกส่งพนักงานออกไปอบรมแบบ Public Training จึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มาก

Public Training ต่างกับ In-house Training อย่างไร

Public Training คือการอบรมภายนอกองค์กร ส่วน In-house Training คือการอบรมภายในองค์กร ทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันทั้งในด้านรูปแบบการจัดอบรมและเนื้อหา การที่คุณรู้ว่า Public Training ต่างกับ In-house Training อย่างไร จะช่วยให้คุณที่อยู่ในฐานะองค์กรสามารถเลือกวิธีพัฒนาทักษะของพนักงานได้ตรงกับเป้าหมาย และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องเสียงบประมาณไปอย่างผิดจุด

ด้านผู้เข้าอบรม

  • Public Training : ผู้เข้าอบรมมาจากหลากหลายองค์กร หลายอาชีพ เพราะใครก็สามารถลงเรียนได้
  • In-house Training : จัดให้เฉพาะพนักงานในองค์กร สามารถพูดคุยและแชร์ปัญหาได้แบบจัดเต็ม

ด้านเนื้อหา

  • Public Training : เนื้อหาจะเป็นแบบทั่วไป ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อองค์กรใดโดยเฉพาะ เช่น ถ้าคุณไปเข้าคอร์สเรียน SEO พื้นฐาน ก็จะสอนแค่พื้นฐานด้าน SEO หรือถ้าคุณเข้าคอร์สสอนวางกลยุทธ์ SEO เค้าก็จะเจาะด้านกลยุทธ์ ไม่ได้ปูพื้นฐานด้าน SEO ใหม่
  • In-house Training : สามารถพูดคุยกับผู้สอน เพื่อปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับบริบทขององค์กรได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะจุดได้ตรงความต้องการ

ด้านความยืดหยุ่น

  • Public Training : กำหนดการและสถานที่ในการอบรมจะตายตัว หรือปรับเปลี่ยนตามผู้จัด
  • In-house Training : สามารถยืดหยุ่นทั้งเวลาและสถานที่ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของพนักงานในองค์กร

 ด้านค่าใช้จ่าย

  • Public Training : คิดค่าใช้จ่ายต่อคน เหมาะกับการส่งพนักงานไปอบรมจำนวนน้อย หรือเพิ่มทักษะให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น พนักงานน้องใหม่ฝ่ายการตลาดต้องการเรียนรู้เรื่องการใช้เครื่องมือ Google Analytics เพื่อใช้สำหรับการทำงาน จึงได้ลงเรียกคอร์ส Google Analytics 4 เป็นต้น
  • In-house Training : คิดค่าใช้จ่ายต่อครั้ง จะคุ้มมาก ถ้ามีคนอบรมเยอะในแต่ละครั้ง หรืออบรมแบบทั้งองค์กร เช่น คอร์สเรียนการตลาดออนไลน์แบบปูพื้นฐาน 

ข้อดีของการส่งพนักงานไปอบรม Public Training 

  • พัฒนาทักษะใหม่ ๆ จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง พนักงานจะได้เรียนรู้จากวิทยากรที่มีความรู้และประสบการณ์เฉพาะด้าน สามารถซักถามข้อสงสัยและขอคำแนะนำที่นำไปปรับใช้ได้จริง ต่างจากการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือการอบรมภายในที่อาจมีข้อจำกัดด้านความเชี่ยวชาญ
  • เพิ่มแรงจูงใจและความผูกพันกับองค์กร เพราะพนักงานจะรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาตนเอง เกิดความกระตือรือร้นที่จะนำความรู้มาปรับใช้ และมีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตไปพร้อมกับองค์กร ช่วยลดอัตราการลาออกในระยะยาว
  • ประหยัดต้นทุนการพัฒนาบุคลากร องค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนจัดอบรมเองทั้งหมด ทั้งในแง่สถานที่ อุปกรณ์ และค่าวิทยากร อีกทั้งยังสามารถนำค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมไปลดหย่อนภาษีได้ตามกฎหมายด้วย
  • เห็นผลลัพธ์การพัฒนาที่ชัดเจน หลักสูตรอบรมภายนอกมักมีการวัดผลที่เป็นระบบ ทั้งการประเมินก่อนและหลังการอบรม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้าและทักษะที่พนักงานได้รับได้
  • เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากการอบรมภายนอกมักมีการอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ทำให้พนักงานได้เรียนรู้เทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดนั่นเอง

ข้อจำกัดของ Public Training คืออะไร

แม้ว่า Public Training จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่องค์กรควรพิจารณาก่อนตัดสินใจส่งพนักงานไปอบรม เนื่องจากการอบรมรูปแบบนี้มีเนื้อหาและรูปแบบที่กำหนดไว้แล้ว อาจไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการเฉพาะขององค์กรได้ทั้งหมด นอกจากนี้ การที่ผู้เข้าอบรมมาจากหลากหลายองค์กรและมีพื้นฐานความรู้ต่างกัน อาจทำให้การเรียนรู้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะในกรณีที่เนื้อหาการอบรมไม่สอดคล้องกับระดับความรู้หรือประสบการณ์ของผู้เข้าอบรม (วิธีแก้คือเริ่มต้นเรียนตั้งแต่คอร์สพื้นฐานและค่อย ๆ ขยับไปเรียนคอร์สที่มีความเฉพาะเจาะจงขึ้น)

แนะนำวิธีเลือกคลาสเรียน Public Training

  • ตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของสถาบันที่จัดอบรม รวมถึงผลงานที่ผ่านมา
  • พิจารณาประสบการณ์ของวิทยากร โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญในหัวข้อที่สอนและประวัติการทำงาน
  • ศึกษารายละเอียดหลักสูตรให้ตรงกับทักษะที่ต้องการพัฒนา และระดับความรู้ของพนักงาน
  • เปรียบเทียบราคากับคุณภาพและระยะเวลาการอบรม ดูความคุ้มค่าของการลงทุน
  • ตรวจสอบรูปแบบการเรียนการสอน เช่น เน้นปฏิบัติ มีเวิร์กช็อป หรือเป็นการบรรยายอย่างเดียว
  • ดูความสะดวกของสถานที่จัดอบรมและตารางเวลา ต้องไม่กระทบงานประจำมากเกินไป
  • อ่านรีวิวจากผู้ที่เคยเข้าอบรมหลักสูตรนั้นมาก่อน
  • สอบถามเรื่องใบรับรองหรือประกาศนียบัตรที่จะได้รับหลังจบหลักสูตร
  • ตรวจสอบว่ามีการวัดผลก่อน-หลังการอบรมหรือไม่
  • ดูว่ามีบริการหลังการอบรมหรือไม่ เช่น การให้คำปรึกษา หรือการติดตามผลต่อเนื่อง

บทสรุป

องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรย่อมเล็งเห็นว่า Public Training คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงาน ด้วยการเรียนรู้จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าอบรมจากต่างองค์กร ช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ความสำเร็จของการอบรมขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกหลักสูตรที่ตอบโจทย์หรือไม่ เลือกระดับของความลึกของเนื้อหาได้เหมาะสมไหม และการนำความรู้มาประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่องหรือเปล่า หากผู้เข้ารับการอบรมต่อยอดความรู้และนำไปใช้ในชีวิตการทำงานจริงเป็นประจำ รับรองว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดีและคุ้มค่าอย่างแน่นอน

Related News

รู้จัก Churn Rate คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นฝันร้ายของคนทำธุรกิจ

Churn Rate คือตัวชี้วัดการสูญเสียลูกค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรธุรกิจ เรียนรู้สาเหตุและ 5 เทคนิคลด Churn Rate ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงในบทความนี้

แชร์ 5 เครื่องมือใช้เช็กอันดับเว็บไซต์ SEO ที่เอเจนซี่ใช้จริง

รวม 5 เครื่องมือเช็กอันดับเว็บที่เอเจนซี่รับทำ SEO ใช้จริง พร้อมวิธีใช้งานทีละขั้นตอน ทั้ง Google Search Console, SERanking, Ahrefs และอื่น ๆ

สอนวิธีเช็กอันดับเว็บไซต์ เช็กอันดับ SEO ด้วยตัวเอง

รวมวิธีสอนเช็กอันดับเว็บง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช็กอันดับ SEO ยังไงได้บ้าง เลือกมาให้แค่วิธีที่ง่ายและฟรี มือใหม่ทำได้ ไม่ต้องจ้างเอเจนซี่ อัปเดต 2025

รู้จัก Churn Rate คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นฝันร้ายของคนทำธุรกิจ

Churn Rate คือตัวชี้วัดการสูญเสียลูกค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรธุรกิจ เรียนรู้สาเหตุและ 5 เทคนิคลด Churn Rate ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงในบทความนี้

แชร์ 5 เครื่องมือใช้เช็กอันดับเว็บไซต์ SEO ที่เอเจนซี่ใช้จริง

รวม 5 เครื่องมือเช็กอันดับเว็บที่เอเจนซี่รับทำ SEO ใช้จริง พร้อมวิธีใช้งานทีละขั้นตอน ทั้ง Google Search Console, SERanking, Ahrefs และอื่น ๆ

สอนวิธีเช็กอันดับเว็บไซต์ เช็กอันดับ SEO ด้วยตัวเอง

รวมวิธีสอนเช็กอันดับเว็บง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช็กอันดับ SEO ยังไงได้บ้าง เลือกมาให้แค่วิธีที่ง่ายและฟรี มือใหม่ทำได้ ไม่ต้องจ้างเอเจนซี่ อัปเดต 2025

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ