Public Training คืออะไร ทำไมองค์กรควรส่งพนักงานไปอบรม

By Rachavit Whangpatanathon I MD at ANGA Group

02 DECEMBER 24

198

13.webp

การพัฒนาบุคลากรถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งพนักงานไปอบรมภายนอกหรือ Public Training คือวิธีที่ช่วยเพิ่มศักยภาพและเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าอบรมจากหลากหลายองค์กร พร้อมทั้งเรียนรู้แนวคิดและเทคนิคด้านต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้จริง ANGA Mastery จะพาคุณไปทำความรู้จักว่า Public Training คืออะไร ต่างกับ In-house Training อย่างไรและเหตุผลที่องค์กรควรส่งพนักงานอบรมนอกสถานที่คืออะไรผ่านบทความนี้

Public Training คืออะไร

Public Training คือการอบรมภายนอกองค์กร ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาบุคลากรที่เปิดโอกาสให้พนักงานจากหลากหลายองค์กรได้มาเข้าร่วมการอบรมร่วมกัน โดยมักจะอยู่ในรูปแบบของคอร์สเรียนที่สถาบันหรือหน่วยงานต่าง ๆ จัดขึ้น สถาบันเหล่านั้นจะเปิดคอร์สเรียนหรือเปิดคลาสอบรมแบบ Public Training ในเรื่องที่ตัวเองเชี่ยวชาญ อย่าง ANGA Matery หรือที่บางคนอาจจะรู้จักในนามของ ANGA เป็นเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านบริการรับทำ SEO และ Performace Marketing จึงเปิดสอน SEO ในรูปแบบของ Public Training เพื่อรองรับผู้เรียนที่สนใจเรื่องการทำ SEO หรือพนักงานทีมการตลาดจากองค์กรต่าง ๆ เป็นต้น

เหตุผลที่ควรส่งพนักงานไปอบรม Public Training คืออะไร

การส่งพนักงานไปอบรมภายนอกองค์กรถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะหลักสูตรการอบรมพนักงาน สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีทักษะด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะการเรียนวิธียิงแอด เรียนรู้วิธีการใช้ Google Analytics หรือ แม้กระทั่งการเรียนรู้ทักษะผู้บริหาร เพื่อเตรียมความพร้อมให้พนักงานทุกคนในการเติบโต ซึ่ง Public Training จะเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านโดยตรง พบปะพบเจอผู้คนที่จากหลายสาขาอาชีพ หลายช่วงอายุวัย และทุกคนมีประสบการณ์ในด้านนั้นแตกต่างกันไป ทำให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนมุมมองและมีคอนเนคชั่นเพิ่ม ซึ่งพวกเขาอาจจะกลายมาเป็นพาร์ทเนอร์กับองค์กรของคุณในอนาคตก็ได้

นอกจากนี้ คงไม่พ้นเรื่องของค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องแบกรับ หากต้องการจัดอบรมเองภายในองค์กร เพราะไหนจะค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้มาสอนหรือบรรยายให้ ค่าอุปกรณ์ หรือค่าระบบเสียง แล้วยังต้องเสียเวลาในการเตรียมงานด้วย รวมถึงเรื่องที่จะเทรนอาจจะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับบางบุคคลเท่านั้น  บอกเลยว่าถ้าองค์กรจะจัด In-house Training เอง มันทั้งเหนื่อยและไม่คุ้มเลย ดังนั้น การเลือกส่งพนักงานออกไปอบรมแบบ Public Training จึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มาก

Public Training ต่างกับ In-house Training อย่างไร

Public Training คือการอบรมภายนอกองค์กร ส่วน In-house Training คือการอบรมภายในองค์กร ทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันทั้งในด้านรูปแบบการจัดอบรมและเนื้อหา การที่คุณรู้ว่า Public Training ต่างกับ In-house Training อย่างไร จะช่วยให้คุณที่อยู่ในฐานะองค์กรสามารถเลือกวิธีพัฒนาทักษะของพนักงานได้ตรงกับเป้าหมาย และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องเสียงบประมาณไปอย่างผิดจุด

ด้านผู้เข้าอบรม

  • Public Training : ผู้เข้าอบรมมาจากหลากหลายองค์กร หลายอาชีพ เพราะใครก็สามารถลงเรียนได้
  • In-house Training : จัดให้เฉพาะพนักงานในองค์กร สามารถพูดคุยและแชร์ปัญหาได้แบบจัดเต็ม

ด้านเนื้อหา

  • Public Training : เนื้อหาจะเป็นแบบทั่วไป ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อองค์กรใดโดยเฉพาะ เช่น ถ้าคุณไปเข้าคอร์สเรียน SEO พื้นฐาน ก็จะสอนแค่พื้นฐานด้าน SEO หรือถ้าคุณเข้าคอร์สสอนวางกลยุทธ์ SEO เค้าก็จะเจาะด้านกลยุทธ์ ไม่ได้ปูพื้นฐานด้าน SEO ใหม่
  • In-house Training : สามารถพูดคุยกับผู้สอน เพื่อปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับบริบทขององค์กรได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะจุดได้ตรงความต้องการ

ด้านความยืดหยุ่น

  • Public Training : กำหนดการและสถานที่ในการอบรมจะตายตัว หรือปรับเปลี่ยนตามผู้จัด
  • In-house Training : สามารถยืดหยุ่นทั้งเวลาและสถานที่ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของพนักงานในองค์กร

 ด้านค่าใช้จ่าย

  • Public Training : คิดค่าใช้จ่ายต่อคน เหมาะกับการส่งพนักงานไปอบรมจำนวนน้อย หรือเพิ่มทักษะให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น พนักงานน้องใหม่ฝ่ายการตลาดต้องการเรียนรู้เรื่องการใช้เครื่องมือ Google Analytics เพื่อใช้สำหรับการทำงาน จึงได้ลงเรียกคอร์ส Google Analytics 4 เป็นต้น
  • In-house Training : คิดค่าใช้จ่ายต่อครั้ง จะคุ้มมาก ถ้ามีคนอบรมเยอะในแต่ละครั้ง หรืออบรมแบบทั้งองค์กร เช่น คอร์สเรียนการตลาดออนไลน์แบบปูพื้นฐาน 

ข้อดีของการส่งพนักงานไปอบรม Public Training 

  • พัฒนาทักษะใหม่ ๆ จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง พนักงานจะได้เรียนรู้จากวิทยากรที่มีความรู้และประสบการณ์เฉพาะด้าน สามารถซักถามข้อสงสัยและขอคำแนะนำที่นำไปปรับใช้ได้จริง ต่างจากการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือการอบรมภายในที่อาจมีข้อจำกัดด้านความเชี่ยวชาญ
  • เพิ่มแรงจูงใจและความผูกพันกับองค์กร เพราะพนักงานจะรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาตนเอง เกิดความกระตือรือร้นที่จะนำความรู้มาปรับใช้ และมีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตไปพร้อมกับองค์กร ช่วยลดอัตราการลาออกในระยะยาว
  • ประหยัดต้นทุนการพัฒนาบุคลากร องค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนจัดอบรมเองทั้งหมด ทั้งในแง่สถานที่ อุปกรณ์ และค่าวิทยากร อีกทั้งยังสามารถนำค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมไปลดหย่อนภาษีได้ตามกฎหมายด้วย
  • เห็นผลลัพธ์การพัฒนาที่ชัดเจน หลักสูตรอบรมภายนอกมักมีการวัดผลที่เป็นระบบ ทั้งการประเมินก่อนและหลังการอบรม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้าและทักษะที่พนักงานได้รับได้
  • เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากการอบรมภายนอกมักมีการอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ทำให้พนักงานได้เรียนรู้เทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดนั่นเอง

ข้อจำกัดของ Public Training คืออะไร

แม้ว่า Public Training จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่องค์กรควรพิจารณาก่อนตัดสินใจส่งพนักงานไปอบรม เนื่องจากการอบรมรูปแบบนี้มีเนื้อหาและรูปแบบที่กำหนดไว้แล้ว อาจไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการเฉพาะขององค์กรได้ทั้งหมด นอกจากนี้ การที่ผู้เข้าอบรมมาจากหลากหลายองค์กรและมีพื้นฐานความรู้ต่างกัน อาจทำให้การเรียนรู้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะในกรณีที่เนื้อหาการอบรมไม่สอดคล้องกับระดับความรู้หรือประสบการณ์ของผู้เข้าอบรม (วิธีแก้คือเริ่มต้นเรียนตั้งแต่คอร์สพื้นฐานและค่อย ๆ ขยับไปเรียนคอร์สที่มีความเฉพาะเจาะจงขึ้น)

แนะนำวิธีเลือกคลาสเรียน Public Training

  • ตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของสถาบันที่จัดอบรม รวมถึงผลงานที่ผ่านมา
  • พิจารณาประสบการณ์ของวิทยากร โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญในหัวข้อที่สอนและประวัติการทำงาน
  • ศึกษารายละเอียดหลักสูตรให้ตรงกับทักษะที่ต้องการพัฒนา และระดับความรู้ของพนักงาน
  • เปรียบเทียบราคากับคุณภาพและระยะเวลาการอบรม ดูความคุ้มค่าของการลงทุน
  • ตรวจสอบรูปแบบการเรียนการสอน เช่น เน้นปฏิบัติ มีเวิร์กช็อป หรือเป็นการบรรยายอย่างเดียว
  • ดูความสะดวกของสถานที่จัดอบรมและตารางเวลา ต้องไม่กระทบงานประจำมากเกินไป
  • อ่านรีวิวจากผู้ที่เคยเข้าอบรมหลักสูตรนั้นมาก่อน
  • สอบถามเรื่องใบรับรองหรือประกาศนียบัตรที่จะได้รับหลังจบหลักสูตร
  • ตรวจสอบว่ามีการวัดผลก่อน-หลังการอบรมหรือไม่
  • ดูว่ามีบริการหลังการอบรมหรือไม่ เช่น การให้คำปรึกษา หรือการติดตามผลต่อเนื่อง

บทสรุป

องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรย่อมเล็งเห็นว่า Public Training คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงาน ด้วยการเรียนรู้จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าอบรมจากต่างองค์กร ช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ความสำเร็จของการอบรมขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกหลักสูตรที่ตอบโจทย์หรือไม่ เลือกระดับของความลึกของเนื้อหาได้เหมาะสมไหม และการนำความรู้มาประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่องหรือเปล่า หากผู้เข้ารับการอบรมต่อยอดความรู้และนำไปใช้ในชีวิตการทำงานจริงเป็นประจำ รับรองว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดีและคุ้มค่าอย่างแน่นอน

Related News

รวมทุกเรื่องที่ควรรู้สำหรับการเปิดคลินิกความงาม 2025

เช็กลิสต์สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนเปิดคลินิกความงาม ก่อนเปิดต้องรู้อะไรบ้าง ใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และควรทำการตลาดอย่างไรในปี 2025

10 วิธีทำการตลาดคลินิกความงามที่เห็นผลจริงในปี 2025

เปิดแผนและวิธีทำการตลาดคลินิกความงามที่เห็นผลจริง ช่วยดันยอดขายให้ปัง เพิ่มการเข้าถึงอย่างแม่นยำ และทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นในปี 2025

เปิด 10 ทักษะและหน้าที่ Online Marketing ที่สำคัญในปี 2025

ทำความเข้าใจหน้าที่ Online Marketing และทักษะที่นักการตลาดออนไลน์ควรมีติดตัวในปี 2025 เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจและเปิดโอกาสให้กับตัวเอง

รวมทุกเรื่องที่ควรรู้สำหรับการเปิดคลินิกความงาม 2025

เช็กลิสต์สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนเปิดคลินิกความงาม ก่อนเปิดต้องรู้อะไรบ้าง ใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และควรทำการตลาดอย่างไรในปี 2025

10 วิธีทำการตลาดคลินิกความงามที่เห็นผลจริงในปี 2025

เปิดแผนและวิธีทำการตลาดคลินิกความงามที่เห็นผลจริง ช่วยดันยอดขายให้ปัง เพิ่มการเข้าถึงอย่างแม่นยำ และทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นในปี 2025

เปิด 10 ทักษะและหน้าที่ Online Marketing ที่สำคัญในปี 2025

ทำความเข้าใจหน้าที่ Online Marketing และทักษะที่นักการตลาดออนไลน์ควรมีติดตัวในปี 2025 เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจและเปิดโอกาสให้กับตัวเอง

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ