การพัฒนาบุคลากรถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งพนักงานไปอบรมภายนอกหรือ Public Training คือวิธีที่ช่วยเพิ่มศักยภาพและเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าอบรมจากหลากหลายองค์กร พร้อมทั้งเรียนรู้แนวคิดและเทคนิคด้านต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้จริง ANGA Mastery จะพาคุณไปทำความรู้จักว่า Public Training คืออะไร ต่างกับ In-house Training อย่างไรและเหตุผลที่องค์กรควรส่งพนักงานอบรมนอกสถานที่คืออะไรผ่านบทความนี้
Public Training คืออะไร
Public Training คือการอบรมภายนอกองค์กร ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาบุคลากรที่เปิดโอกาสให้พนักงานจากหลากหลายองค์กรได้มาเข้าร่วมการอบรมร่วมกัน โดยมักจะอยู่ในรูปแบบของคอร์สเรียนที่สถาบันหรือหน่วยงานต่าง ๆ จัดขึ้น สถาบันเหล่านั้นจะเปิดคอร์สเรียนหรือเปิดคลาสอบรมแบบ Public Training ในเรื่องที่ตัวเองเชี่ยวชาญ อย่าง ANGA Matery หรือที่บางคนอาจจะรู้จักในนามของ ANGA เป็นเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านบริการรับทำ SEO และ Performace Marketing จึงเปิดสอน SEO ในรูปแบบของ Public Training เพื่อรองรับผู้เรียนที่สนใจเรื่องการทำ SEO หรือพนักงานทีมการตลาดจากองค์กรต่าง ๆ เป็นต้น
เหตุผลที่ควรส่งพนักงานไปอบรม Public Training คืออะไร
การส่งพนักงานไปอบรมภายนอกองค์กรถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะหลักสูตรการอบรมพนักงาน สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีทักษะด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะการเรียนวิธียิงแอด เรียนรู้วิธีการใช้ Google Analytics หรือ แม้กระทั่งการเรียนรู้ทักษะผู้บริหาร เพื่อเตรียมความพร้อมให้พนักงานทุกคนในการเติบโต ซึ่ง Public Training จะเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านโดยตรง พบปะพบเจอผู้คนที่จากหลายสาขาอาชีพ หลายช่วงอายุวัย และทุกคนมีประสบการณ์ในด้านนั้นแตกต่างกันไป ทำให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนมุมมองและมีคอนเนคชั่นเพิ่ม ซึ่งพวกเขาอาจจะกลายมาเป็นพาร์ทเนอร์กับองค์กรของคุณในอนาคตก็ได้
นอกจากนี้ คงไม่พ้นเรื่องของค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องแบกรับ หากต้องการจัดอบรมเองภายในองค์กร เพราะไหนจะค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้มาสอนหรือบรรยายให้ ค่าอุปกรณ์ หรือค่าระบบเสียง แล้วยังต้องเสียเวลาในการเตรียมงานด้วย รวมถึงเรื่องที่จะเทรนอาจจะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับบางบุคคลเท่านั้น บอกเลยว่าถ้าองค์กรจะจัด In-house Training เอง มันทั้งเหนื่อยและไม่คุ้มเลย ดังนั้น การเลือกส่งพนักงานออกไปอบรมแบบ Public Training จึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มาก
Public Training ต่างกับ In-house Training อย่างไร
Public Training คือการอบรมภายนอกองค์กร ส่วน In-house Training คือการอบรมภายในองค์กร ทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันทั้งในด้านรูปแบบการจัดอบรมและเนื้อหา การที่คุณรู้ว่า Public Training ต่างกับ In-house Training อย่างไร จะช่วยให้คุณที่อยู่ในฐานะองค์กรสามารถเลือกวิธีพัฒนาทักษะของพนักงานได้ตรงกับเป้าหมาย และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องเสียงบประมาณไปอย่างผิดจุด
ด้านผู้เข้าอบรม
- Public Training : ผู้เข้าอบรมมาจากหลากหลายองค์กร หลายอาชีพ เพราะใครก็สามารถลงเรียนได้
- In-house Training : จัดให้เฉพาะพนักงานในองค์กร สามารถพูดคุยและแชร์ปัญหาได้แบบจัดเต็ม
ด้านเนื้อหา
- Public Training : เนื้อหาจะเป็นแบบทั่วไป ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อองค์กรใดโดยเฉพาะ เช่น ถ้าคุณไปเข้าคอร์สเรียน SEO พื้นฐาน ก็จะสอนแค่พื้นฐานด้าน SEO หรือถ้าคุณเข้าคอร์สสอนวางกลยุทธ์ SEO เค้าก็จะเจาะด้านกลยุทธ์ ไม่ได้ปูพื้นฐานด้าน SEO ใหม่
- In-house Training : สามารถพูดคุยกับผู้สอน เพื่อปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับบริบทขององค์กรได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะจุดได้ตรงความต้องการ
ด้านความยืดหยุ่น
- Public Training : กำหนดการและสถานที่ในการอบรมจะตายตัว หรือปรับเปลี่ยนตามผู้จัด
- In-house Training : สามารถยืดหยุ่นทั้งเวลาและสถานที่ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของพนักงานในองค์กร
ด้านค่าใช้จ่าย
- Public Training : คิดค่าใช้จ่ายต่อคน เหมาะกับการส่งพนักงานไปอบรมจำนวนน้อย หรือเพิ่มทักษะให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น พนักงานน้องใหม่ฝ่ายการตลาดต้องการเรียนรู้เรื่องการใช้เครื่องมือ Google Analytics เพื่อใช้สำหรับการทำงาน จึงได้ลงเรียกคอร์ส Google Analytics 4 เป็นต้น
- In-house Training : คิดค่าใช้จ่ายต่อครั้ง จะคุ้มมาก ถ้ามีคนอบรมเยอะในแต่ละครั้ง หรืออบรมแบบทั้งองค์กร เช่น คอร์สเรียนการตลาดออนไลน์แบบปูพื้นฐาน
ข้อดีของการส่งพนักงานไปอบรม Public Training
- พัฒนาทักษะใหม่ ๆ จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง พนักงานจะได้เรียนรู้จากวิทยากรที่มีความรู้และประสบการณ์เฉพาะด้าน สามารถซักถามข้อสงสัยและขอคำแนะนำที่นำไปปรับใช้ได้จริง ต่างจากการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือการอบรมภายในที่อาจมีข้อจำกัดด้านความเชี่ยวชาญ
- เพิ่มแรงจูงใจและความผูกพันกับองค์กร เพราะพนักงานจะรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาตนเอง เกิดความกระตือรือร้นที่จะนำความรู้มาปรับใช้ และมีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตไปพร้อมกับองค์กร ช่วยลดอัตราการลาออกในระยะยาว
- ประหยัดต้นทุนการพัฒนาบุคลากร องค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนจัดอบรมเองทั้งหมด ทั้งในแง่สถานที่ อุปกรณ์ และค่าวิทยากร อีกทั้งยังสามารถนำค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมไปลดหย่อนภาษีได้ตามกฎหมายด้วย
- เห็นผลลัพธ์การพัฒนาที่ชัดเจน หลักสูตรอบรมภายนอกมักมีการวัดผลที่เป็นระบบ ทั้งการประเมินก่อนและหลังการอบรม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้าและทักษะที่พนักงานได้รับได้
- เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากการอบรมภายนอกมักมีการอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ทำให้พนักงานได้เรียนรู้เทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดนั่นเอง
ข้อจำกัดของ Public Training คืออะไร
แม้ว่า Public Training จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่องค์กรควรพิจารณาก่อนตัดสินใจส่งพนักงานไปอบรม เนื่องจากการอบรมรูปแบบนี้มีเนื้อหาและรูปแบบที่กำหนดไว้แล้ว อาจไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการเฉพาะขององค์กรได้ทั้งหมด นอกจากนี้ การที่ผู้เข้าอบรมมาจากหลากหลายองค์กรและมีพื้นฐานความรู้ต่างกัน อาจทำให้การเรียนรู้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะในกรณีที่เนื้อหาการอบรมไม่สอดคล้องกับระดับความรู้หรือประสบการณ์ของผู้เข้าอบรม (วิธีแก้คือเริ่มต้นเรียนตั้งแต่คอร์สพื้นฐานและค่อย ๆ ขยับไปเรียนคอร์สที่มีความเฉพาะเจาะจงขึ้น)
แนะนำวิธีเลือกคลาสเรียน Public Training
- ตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของสถาบันที่จัดอบรม รวมถึงผลงานที่ผ่านมา
- พิจารณาประสบการณ์ของวิทยากร โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญในหัวข้อที่สอนและประวัติการทำงาน
- ศึกษารายละเอียดหลักสูตรให้ตรงกับทักษะที่ต้องการพัฒนา และระดับความรู้ของพนักงาน
- เปรียบเทียบราคากับคุณภาพและระยะเวลาการอบรม ดูความคุ้มค่าของการลงทุน
- ตรวจสอบรูปแบบการเรียนการสอน เช่น เน้นปฏิบัติ มีเวิร์กช็อป หรือเป็นการบรรยายอย่างเดียว
- ดูความสะดวกของสถานที่จัดอบรมและตารางเวลา ต้องไม่กระทบงานประจำมากเกินไป
- อ่านรีวิวจากผู้ที่เคยเข้าอบรมหลักสูตรนั้นมาก่อน
- สอบถามเรื่องใบรับรองหรือประกาศนียบัตรที่จะได้รับหลังจบหลักสูตร
- ตรวจสอบว่ามีการวัดผลก่อน-หลังการอบรมหรือไม่
- ดูว่ามีบริการหลังการอบรมหรือไม่ เช่น การให้คำปรึกษา หรือการติดตามผลต่อเนื่อง
บทสรุป
องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรย่อมเล็งเห็นว่า Public Training คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงาน ด้วยการเรียนรู้จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าอบรมจากต่างองค์กร ช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ความสำเร็จของการอบรมขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกหลักสูตรที่ตอบโจทย์หรือไม่ เลือกระดับของความลึกของเนื้อหาได้เหมาะสมไหม และการนำความรู้มาประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่องหรือเปล่า หากผู้เข้ารับการอบรมต่อยอดความรู้และนำไปใช้ในชีวิตการทำงานจริงเป็นประจำ รับรองว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดีและคุ้มค่าอย่างแน่นอน