02 DECEMBER 24
2.4k
การพัฒนาบุคลากรถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งพนักงานไปอบรมภายนอกหรือ Public Training คือวิธีที่ช่วยเพิ่มศักยภาพและเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าอบรมจากหลากหลายองค์กร พร้อมทั้งเรียนรู้แนวคิดและเทคนิคด้านต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้จริง ANGA Mastery จะพาคุณไปทำความรู้จักว่า Public Training คืออะไร ต่างกับ In-house Training อย่างไรและเหตุผลที่องค์กรควรส่งพนักงานอบรมนอกสถานที่คืออะไรผ่านบทความนี้
Public Training คือการอบรมภายนอกองค์กร ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาบุคลากรที่เปิดโอกาสให้พนักงานจากหลากหลายองค์กรได้มาเข้าร่วมการอบรมร่วมกัน โดยมักจะอยู่ในรูปแบบของคอร์สเรียนที่สถาบันหรือหน่วยงานต่าง ๆ จัดขึ้น สถาบันเหล่านั้นจะเปิดคอร์สเรียนหรือเปิดคลาสอบรมแบบ Public Training ในเรื่องที่ตัวเองเชี่ยวชาญ อย่าง ANGA Matery หรือที่บางคนอาจจะรู้จักในนามของ ANGA เป็นเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านบริการรับทำ SEO และ Performace Marketing จึงเปิดสอน SEO ในรูปแบบของ Public Training เพื่อรองรับผู้เรียนที่สนใจเรื่องการทำ SEO หรือพนักงานทีมการตลาดจากองค์กรต่าง ๆ เป็นต้น
การส่งพนักงานไปอบรมภายนอกองค์กรถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะหลักสูตรการอบรมพนักงาน สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีทักษะด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะการเรียนวิธียิงแอด เรียนรู้วิธีการใช้ Google Analytics หรือ แม้กระทั่งการเรียนรู้ทักษะผู้บริหาร เพื่อเตรียมความพร้อมให้พนักงานทุกคนในการเติบโต ซึ่ง Public Training จะเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านโดยตรง พบปะพบเจอผู้คนที่จากหลายสาขาอาชีพ หลายช่วงอายุวัย และทุกคนมีประสบการณ์ในด้านนั้นแตกต่างกันไป ทำให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนมุมมองและมีคอนเนคชั่นเพิ่ม ซึ่งพวกเขาอาจจะกลายมาเป็นพาร์ทเนอร์กับองค์กรของคุณในอนาคตก็ได้
นอกจากนี้ คงไม่พ้นเรื่องของค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องแบกรับ หากต้องการจัดอบรมเองภายในองค์กร เพราะไหนจะค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้มาสอนหรือบรรยายให้ ค่าอุปกรณ์ หรือค่าระบบเสียง แล้วยังต้องเสียเวลาในการเตรียมงานด้วย รวมถึงเรื่องที่จะเทรนอาจจะเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับบางบุคคลเท่านั้น บอกเลยว่าถ้าองค์กรจะจัด In-house Training เอง มันทั้งเหนื่อยและไม่คุ้มเลย ดังนั้น การเลือกส่งพนักงานออกไปอบรมแบบ Public Training จึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มาก
Public Training คือการอบรมภายนอกองค์กร ส่วน In-house Training คือการอบรมภายในองค์กร ทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันทั้งในด้านรูปแบบการจัดอบรมและเนื้อหา การที่คุณรู้ว่า Public Training ต่างกับ In-house Training อย่างไร จะช่วยให้คุณที่อยู่ในฐานะองค์กรสามารถเลือกวิธีพัฒนาทักษะของพนักงานได้ตรงกับเป้าหมาย และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องเสียงบประมาณไปอย่างผิดจุด
แม้ว่า Public Training จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่องค์กรควรพิจารณาก่อนตัดสินใจส่งพนักงานไปอบรม เนื่องจากการอบรมรูปแบบนี้มีเนื้อหาและรูปแบบที่กำหนดไว้แล้ว อาจไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการเฉพาะขององค์กรได้ทั้งหมด นอกจากนี้ การที่ผู้เข้าอบรมมาจากหลากหลายองค์กรและมีพื้นฐานความรู้ต่างกัน อาจทำให้การเรียนรู้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะในกรณีที่เนื้อหาการอบรมไม่สอดคล้องกับระดับความรู้หรือประสบการณ์ของผู้เข้าอบรม (วิธีแก้คือเริ่มต้นเรียนตั้งแต่คอร์สพื้นฐานและค่อย ๆ ขยับไปเรียนคอร์สที่มีความเฉพาะเจาะจงขึ้น)
องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรย่อมเล็งเห็นว่า Public Training คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงาน ด้วยการเรียนรู้จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าอบรมจากต่างองค์กร ช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ความสำเร็จของการอบรมขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกหลักสูตรที่ตอบโจทย์หรือไม่ เลือกระดับของความลึกของเนื้อหาได้เหมาะสมไหม และการนำความรู้มาประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่องหรือเปล่า หากผู้เข้ารับการอบรมต่อยอดความรู้และนำไปใช้ในชีวิตการทำงานจริงเป็นประจำ รับรองว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดีและคุ้มค่าอย่างแน่นอน
พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์
16 JULY
Data Layer คืออะไร? เกี่ยวข้องอย่างไรกับโปรแกรม Google Tag Manager และทำไมนักการตลาด หรือเจ้าของธุรกิจควรรู้ไว้ พร้อมตัวอย่างการ Push Data Layer
16 JULY
26 MAY
26 MAY
19 MAY
19 MAY
ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ