ปัจจุบัน Developer ต้องทำการเพิ่ม Schema Markup จากหลังบ้านของตัวเอง หรือ Source Code ซึ่งบางทีการที่นักการตลาดหรือ SEO Specialist อย่างเราๆ อยากเพิ่ม Schema Markup ด้วยตัวเอง จึงจำเป็นต้องไปประสานงานทางทีม Product เพื่อเช็คคิว Sprint ว่าสามารถช่วยดำเนินการเพิ่ม Schema Markup ตาม ที่พวกเราต้องการได้หรือไม่
Table of Contents
แต่ไม่ต้องห่วงอีกต่อไป เพราะเรามีเครื่องมืออย่าง Google Tag Manager ที่จะเข้ามาช่วยให้นักการตลาดสาย Low-Code ก็สามารถติดตั้ง Schema Markup ได้เอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา Developers ช่วยลดขั้นตอนการทำงานและเพิ่มความคล่องตัวในการปรับปรุง SEO ได้ทันท่วงทีมากขึ้น
Schema Markup คืออะไร
Schema Markup คือโค้ดชุดนึงที่อยู่ในรูปแบบของ JSON-LD format ซึ่งจะมีหน้าที่หลักๆในการป้อนข้อมูลให้ Google Bot สามารถเข้าใจเนื้อหาสำคัญๆของเว็บไซต์เราได้ดียิ่งขึ้น แม่นยำมากยิ่งขึ้น เช่น เราอยากให้ Google รู้ว่า ผู้เขียนบทความนี้ ชื่ออะไร การติด Article Schema ก็จะเป็นการส่งสัญญาณลับๆให้ Google ทราบในทางเทคนิคว่าชื่อของผู้แต่งบทความคืออะไร จากประสบการณ์ของ ANGA เว็บไซต์ที่มีการติด Schema Markup มักจะแสดงผลใน SERP สูงกว่าเว็บไซต์อื่นๆ เนื่องจากข้อมูลที่เราส่งให้ Google มีครบถ้วนยิ่งกว่า
วิธีการเพิ่ม Schema Markup ผ่าน Google Tag Manager
พวกเรา ANGA Mastery มีเทคนิคลับที่อยากจะมาแชร์เกี่ยวกับการเพิ่ม Schema Markup เองในปี 2024 ผ่าน Google Tag Mangaer
1. ใช้ ChatGPT ในการทำ Schema Generator
สมมุติว่าเราอยากจะติด Article Schema ในหน้าบทความของเราทุกหน้า เพื่อเป็นการบอก Google ว่า หน้าประเภทนี้เป็นประเภทบทความ เราจำเป็นต้องมี Schema Markup ใน JSON-LD Format ดังนั้น เราจะใช้ ChatGPT ในการ generate schema markup ออกมาให้
2. สร้าง Tag ใน Google Tag Manager
เราจะใช้ Tag Configuration type เป็น Custom HTML ในช่อง HTML ให้นำ script ที่ได้มาจาก ChatGPT มาวางลง และสุดท้ายอย่าลืมตั้งชื่อ Tag ว่า Article Schema
2. สร้าง Trigger ใน Google Tag Manager
เราจะเลือก Triggering เป็น Page View เฉพาะหน้าที่ contains https://angamastery.co.th/blog/ เท่านั้น (เพราะเราต้องการบอก Google ว่าหน้าประเภทนี้คือ บทความ)
2. สร้าง Variable ใน Google Tag Manager
หากเราอยากต้องการให้ Google รับรู้ได้แบบ dynamic ว่า ในแต่ละหน้ามี Title, Description, หรือเนื้อหาอื่นๆเป็นอย่างไรเราจำเป็นต้องสร้าง Variable หรือตัวแปรที่มีค่าของเนื้อหานั้นๆอยู่
ยกตัวอย่างการสร้าง Page Title Variable จะมีขั้นตอนดังนี้
- Inspect Website ดูว่า Page Title ของคุณว่ามี attribution name กับ content คืออะไร
- สร้าง Variable โดยใส่ข้อมูลตามนี้
- ตั้งชื่อตัวแปรว่า Page_Title
- เลือก Variable Type เป็น DOM READY
- เลือก Selection Method เป็น CSS Selector
- ในช่อง Element Selector ใส่ สิ่งที่คุณ Inspect เจอ เช่น meta[name=”twitter:title”]
- ในช่อง Attribution Name ใส่ content เพื่อให้ถูกนำไปแสดงผลใน Article Schema Tag
- กลับไปที่ Article Schema Tag และแก้ไขรายละเอียดใน Script โดยตรงในส่วนของ headline แก้ไขเป็น “{{Page_Title}}” เพื่อเป็นการเรียกตัวแปรที่เราสร้างในขั้นตอนที่ 2 เข้ามาในสคริปต์ ดังนี้
- เมื่อเสร็จสิ้นแล้วกดปุ่ม Save และ Publish ได้เลย
เพียงเท่านี้ Googlebot จะสามารถรับรู้ได้ว่า ในทุกๆหน้าที่ contains /blog/ คือหน้าบทความ เพราะว่าเราได้ทำการเพิ่ม Article Schema Markup เข้าไปในหน้าประเภทนี้แล้วเรียบร้อย
วิธีการทดสอบ Schema Markup ผ่าน Google Tag Manager
หากเราอยากทดสอบว่า Schema ที่ถูกติดตั้งผ่าน Google Tag Manager ขึ้นไปสำเร็จหรือไม่ เราจะใช้ Google tool ที่ชื่อว่า Rich Result เพื่อทำการตรวจสอบ วิธีการตรวจสอบง่ายมากเพียง copy URL ของบทความที่ต้องการทดสอบว่าแสดงผล Article Schema หรือไม่ลงไปใน Search Bar แล้วกด Test URL
เพียงเท่านี้เราก็จะรู้แล้วว่า Google รับรู้ถึง Schema ที่ติดผ่าน Google Tag Manager หรือไม่ตามรูปภาพด้านล่าง
จากภาพนี้สามารถอ่านผลลัพธ์ได้ว่า ใน URL: https://angamastery.co.th/blog/ มี Page Title ว่า “อัปเดตข่าวการตลาดออนไลน์ เทคโนโลยี การทำธุรกิจ” เพียงเท่านี้ก็เป็นหลักฐานแล้วว่า เราสามารถติดตั้ง Schema Markup ผ่าน GTM ได้สำเร็จ
สรุป
การติด Schema Markup ผ่าน Google Tag Manager เป็นสกิลขั้นสูงที่นักการตลาดที่เป็นสาย Tech จะชื่นชอบ อย่างไรก็ตามยังมีวิธีการติด Schema อีกมากมายผ่าน Google Tag Manager
หากอยากเรียนรู้เพิ่มเติม ตอนนี้ ANGA MASTERY มีเปิดคอร์สสอน SEO สำหรับผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ และ SEO Specialist ซึ่งจะบอกเคล็ดลับการทำ SEO ฉบับ ANGA จากคุณ คุณเกน รัชวิทย์ หวังพัฒนธน, Managing Director ที่ ANGA Group โดยตรง รับรองว่าเนื้อหาจะไม่สามารถหาได้ที่ไหนแน่นอนเนื่องจาก คอร์สนี้จะถูกออกแบบและบริหารโดยตรงจากเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้าน SEO