Data + Emotional คู่หูสร้าง Storytelling ที่ทรงพลัง

ANGA Mastery

13 AUGUST 24

85

ทุกวันนี้เปิดไปแพลตฟอร์มไหนก็มีแต่ข้อมูลท่วมท้น และมีการแข่งขันที่สูงมากในทุกช่องทาง ทำให้การสร้างเนื้อหาที่โดดเด่นและน่าจดจำเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะมัดใจผู้บริโภคได้ จึงเกิดเป็นศาสตร์การผสมผสานระหว่าง Data และ Emotional ในการสร้าง Storytelling ที่กลายเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง สำหรับนักการตลาด นักสื่อสาร และคนสร้างคอนเทนต์ บทความนี้ ANGA Mastery จะพาคุณเจาะลึกวิธีการนำ Data มาผสานกับอารมณ์เพื่อสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ โดนใจผู้บริโภค และสร้างผลลัพธ์ที่คุณก็คาดไม่ถึง

ทำไม Data + Emotional ถึงสำคัญในการสร้าง Storytelling?

การผสมผสานระหว่างข้อมูลเชิงลึกและอารมณ์ความรู้สึกไม่เพียงแต่สร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่ยังส่งผลดีต่อแบรนด์และธุรกิจในหลายมิติ เช่น

1. สร้างความน่าเชื่อถือ

  • ข้อมูลและสถิติช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องราว ทำให้ผู้รับสารรู้สึกว่ากำลังได้รับข้อมูลที่มีคุณค่าและเชื่อถือได้
  • การนำเสนอข้อมูลที่มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
  • ตัวเลขและสถิติทำให้ข้อความมีน้ำหนักมากขึ้น ช่วยสนับสนุนข้อโต้แย้งหรือจุดยืนของแบรนด์

2. กระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก

  • อารมณ์ช่วยสร้างการเชื่อมโยงกับผู้ฟัง ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมและความผูกพันกับแบรนด์
  • เรื่องราวที่สร้างอารมณ์ร่วมจะถูกจดจำได้ดีกว่า ส่งผลให้แบรนด์อยู่ในใจผู้บริโภคได้ยาวนานขึ้น
  • การกระตุ้นอารมณ์ที่เหมาะสมสามารถนำไปสู่การตัดสินใจซื้อหรือการสนับสนุนแบรนด์ได้

3. ช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น

  • การนำเสนอข้อมูลผ่านเรื่องราวช่วยให้แนวคิดที่ซับซ้อนเข้าใจได้ง่ายขึ้น ทำให้ผู้รับสารสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ดีกว่าการนำเสนอตัวเลขล้วนๆ
  • ภาพและเรื่องราวช่วยอธิบายแนวคิดที่ซับซ้อนได้ดี ทำให้ผู้รับสารสามารถจินตนาการและเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
  • การผสมผสานข้อมูลกับเรื่องราวช่วยให้ผู้รับสารสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น

4. สร้างการมีส่วนร่วมและการแชร์

  • เนื้อหาที่มีทั้งข้อมูลน่าสนใจและอารมณ์ร่วมมักได้รับการแชร์มากกว่าเนื้อหาทั่วไป
  • การสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจจากข้อมูลช่วยกระตุ้นให้เกิดการสนทนาและการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย
  • ผู้รับสารมีแนวโน้มที่จะแชร์เนื้อหาที่ให้ทั้งข้อมูลและสร้างอารมณ์ร่วมเพื่อแสดงตัวตนหรือความคิดเห็นของตนเอง

เทคนิคการผสมผสาน Data และ Emotional ในการเล่าเรื่อง

เทคนิคการผสมผสาน Data และ Emotional ในการเล่าเรื่อง

การนำ Data มาผสมผสานกับอารมณ์ความรู้สึก ต้องอาศัยเทคนิคและความเข้าใจในการสร้างเนื้อหา ต่อไปนี้คือวิธีการที่มีประสิทธิภาพพร้อมตัวอย่างการนำไปใช้

1. เริ่มด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ

  • ค้นหาข้อมูลที่น่าทึ่งหรือไม่คาดคิด เป็นตัวเลขได้ยิ่งดี เช่น 90% ของข้อมูลทั้งหมดในโลกถูกสร้างขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
  • ใช้การเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เช่น "ปริมาณพลาสติกในมหาสมุทรมีน้ำหนักมากกว่าปลาทั้งหมดในทะเล"

ตัวอย่าง: คุณรู้หรือไม่ว่า ทุกๆ วินาที มีขยะพลาสติกกว่า 200 กิโลกรัมถูกทิ้งลงสู่มหาสมุทร? นั่นหมายความว่าในเวลาที่คุณอ่านประโยคนี้จบ มีขยะพลาสติกเท่ากับน้ำหนักของช้างแอฟริกาหนึ่งตัวได้ถูกทิ้งลงทะเลแล้ว

2. สร้างบริบทผ่านเรื่องราว

  • นำเสนอข้อมูลผ่านประสบการณ์ของบุคคล เช่น เล่าเรื่องของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ใช้การเล่าเรื่องแบบ "ก่อน-หลัง" เพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลง เช่น เปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของชุมชนก่อนและหลังการใช้พลังงานสะอาด

ตัวอย่าง: มาเรีย เกษตรกรวัย 45 ปีจากชนบทของเปรู เคยต้องเดินทาง 5 กิโลเมตรทุกวันเพื่อหาน้ำสะอาด แต่หลังจากโครงการติดตั้งระบบกรองน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ในหมู่บ้าน เธอไม่เพียงแต่มีน้ำสะอาดใช้ แต่ยังสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ถึง 40% ภายในเวลาเพียง 1 ปี

3. ใช้ภาพและกราฟิกสร้างอารมณ์

  • สร้าง Infographic ที่มีทั้งข้อมูลและองค์ประกอบทางอารมณ์ เช่น แสดงจำนวนสัตว์ที่สูญพันธุ์ด้วยภาพสัตว์ที่หายไปทีละตัว
  • ใช้สีและการออกแบบเพื่อสื่ออารมณ์ เช่น ใช้โทนสีอบอุ่นเพื่อสื่อถึงความหวังในการนำเสนอข้อมูลการฟื้นฟูป่า

ตัวอย่าง: สร้าง Infographic ที่แสดงการลดลงของพื้นที่ป่าในรอบ 50 ปี โดยใช้ภาพต้นไม้ที่ค่อยๆ หายไป พร้อมกับแสดงตัวเลขสัตว์ป่าที่สูญเสียที่อยู่อาศัย ใช้สีเขียวสดใสสำหรับอดีตและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแห้งแล้งเมื่อแสดงถึงปัจจุบัน

4. เชื่อมโยงกับประสบการณ์ของผู้ฟัง

  • ใช้ตัวอย่างที่ใกล้ตัวผู้ฟัง เช่น เปรียบเทียบการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวันกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • สร้างสถานการณ์สมมติที่ผู้ฟังสามารถจินตนาการตามได้ เช่น "ลองนึกภาพว่าคุณตื่นขึ้นมาในวันที่โลกไม่มีผึ้ง..."

ตัวอย่าง: ลองนึกภาพว่าทุกครั้งที่คุณใช้ถุงพลาสติก มันจะลอยไปอยู่ในท้องของปลาทะเลตัวหนึ่ง ในแต่ละปี คนไทยใช้ถุงพลาสติกเฉลี่ย 3,000 ใบต่อคน นั่นหมายความว่าแต่ละคนของเรากำลังส่งพลาสติกไปสู่ท้องทะเลเท่ากับน้ำหนักของตัวเราเองเลยทีเดียว

ตัวอย่างการใช้ Data + Emotional Storytelling ที่ประสบความสำเร็จ

แคมเปญ "Small Business, Big Impact" ของ Shopify มีการสร้างซีรีส์วิดีโอที่นำเสนอเรื่องราวของผู้ประกอบการรายย่อยที่ประสบความสำเร็จผ่านการใช้แพลตฟอร์มของ Shopify โดยแต่ละตอนจะมีการนำเสนอข้อมูลการเติบโตของธุรกิจควบคู่ไปกับเรื่องราวส่วนตัวของผู้ประกอบการ

แคมเปญการตลาดของแบรนด์

  • นำเสนอข้อมูลการเติบโตของแบรนด์ผ่านเรื่องราวของลูกค้าที่ประสบความสำเร็จ
  • ใช้ Infographic แสดงจำนวนผู้ใช้บริการพร้อมคำบอกเล่าจากลูกค้าจริง

การวิเคราะห์

  • ใช้ข้อมูลการเติบโตทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรม (ยอดขาย, จำนวนลูกค้า)
  • สร้างอารมณ์ร่วมผ่านเรื่องราวความสำเร็จและความท้าทายของผู้ประกอบการจริง
  • ผสมผสานสถิติของ Shopify (จำนวนร้านค้า, มูลค่าการซื้อขาย) กับเรื่องราวส่วนตัว

สรุปการนำ Data + Emotional Storytelling ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

โดยสรุป Data + Emotional Storytelling เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการสื่อสาร ด้วยการผสมผสานข้อมูลเชิงลึกเข้ากับการสร้างอารมณ์ร่วมอย่างชาญฉลาด จะช่วยให้องค์กรและแบรนด์สามารถสร้างการมีส่วนร่วม สร้างความประทับใจ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการได้ อย่างไรก็ตาม การใช้เทคนิคนี้ต้องอาศัยความระมัดระวัง ความคิดสร้างสรรค์ และความรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อองค์กรและสังคมโดยรวม ท้ายที่สุด การฝึกฝนและการนำไปประยุกต์ใช้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาทักษะในการสร้าง Storytelling ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการสื่อสารและการตลาดในโลกยุคดิจิทัล

 

Related News

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ