รู้จักศิลปะการสั่งงาน มอบหมายงาน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ANGA Mastery

14 AUGUST 24

202

MASTERY-COVER-AUG-09.webp

ความสามารถในการสั่งงานและมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้นำและผู้บริหารทุกระดับ การสั่งงานที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะของทีมงาน สร้างความไว้วางใจ และนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ศิลปะการสั่งงานและมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่หลักการพื้นฐาน เทคนิคการสั่งงาน ไปจนถึงการติดตามและประเมินผล พร้อมตัวอย่างและวิธีปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหารมือใหม่หรือผู้นำที่มีประสบการณ์ บทความนี้จะช่วยยกระดับทักษะการสั่งงานของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ความสำคัญของการสั่งงานและมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพ

ก่อนที่เราจะไปดูเทคนิคการสั่งงาน มาทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมการสั่งงานและมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพถึงมีความสำคัญต่อองค์กร

  1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การมอบหมายงานที่เหมาะสมช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้นและมีคุณภาพมากขึ้น
  2. พัฒนาทักษะของทีมงาน: การมอบหมายงานที่ท้าทายช่วยให้ทีมงานได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ
  3. สร้างความไว้วางใจและความรับผิดชอบ: การมอบหมายงานแสดงถึงความไว้วางใจ และช่วยสร้างความรับผิดชอบในทีม
  4. ลดภาระงานของผู้บริหาร: ช่วยให้ผู้บริหารมีเวลาโฟกัสกับงานสำคัญเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
  5. เพิ่มความพึงพอใจในงาน: ทีมงานที่ได้รับมอบหมายงานที่ท้าทายมักมีความพึงพอใจในงานมากขึ้น
  6. เตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโต: ช่วยเตรียมทีมงานให้พร้อมสำหรับตำแหน่งที่สูงขึ้นในอนาคต

หลักการพื้นฐานของการสั่งงานและมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพ

9.1 หลักการพื้นฐานของการสั่งงานและมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพ.webp

ก่อนที่จะไปดูเทคนิคเฉพาะ มาทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของการสั่งงานและมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพกัน

1. เลือกคนให้เหมาะกับงาน

  • พิจารณาทักษะ ประสบการณ์ และความสนใจของแต่ละคน
  • มอบหมายงานที่ท้าทายแต่อยู่ในขอบเขตความสามารถ

2. ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วน

  • อธิบายวัตถุประสงค์ ขอบเขต และความคาดหวังของงานอย่างชัดเจน
  • ให้ข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดในการทำงาน

3. กำหนดเป้าหมายและกำหนดเวลาที่ชัดเจน

  • ตั้งเป้าหมายที่ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound)
  • กำหนดเวลาส่งงานและจุดตรวจสอบระหว่างทาง

4. ให้อิสระในการทำงาน

  • ให้อำนาจในการตัดสินใจตามขอบเขตที่เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการควบคุมมากเกินไป (Micromanagement)

5. ให้การสนับสนุนและทรัพยากรที่จำเป็น

  • จัดหาเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการทำงาน
  • พร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อทีมงานต้องการ

เทคนิคการสั่งงานและมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ต่อไปนี้คือเทคนิคเฉพาะที่จะช่วยให้การสั่งงานและมอบหมายงานของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. ใช้หลัก "What, Why, Who, When, Where, How"

  • What: อธิบายงานที่ต้องทำอย่างชัดเจน
  • Why: อธิบายเหตุผลและความสำคัญของงาน
  • Who: ระบุว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบหลักและผู้เกี่ยวข้อง
  • When: กำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงาน
  • Where: ระบุสถานที่หรือพื้นที่ในการทำงาน (ถ้ามี)
  • How: อธิบายวิธีการหรือขั้นตอนในการทำงาน

2. ใช้เทคนิค "I Do, We Do, You Do"

  1. I Do: สาธิตวิธีการทำงานให้ดู
  2. We Do: ทำงานร่วมกันเพื่อให้เข้าใจกระบวนการ
  3. You Do: ให้ทีมงานทำงานด้วยตนเอง โดยคุณคอยให้คำแนะนำเมื่อจำเป็น

3. ใช้การถามคำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ

  • ขอให้ทีมงานสรุปสิ่งที่ได้รับมอบหมายกลับมา
  • ถามคำถามเพื่อตรวจสอบว่าเข้าใจวัตถุประสงค์และขั้นตอนการทำงาน
  • เปิดโอกาสให้ถามคำถามหรือแสดงความคิดเห็น

4. ใช้เทคนิค "Delegation Poker"

เป็นเทคนิคที่ช่วยกำหนดระดับการมอบอำนาจในการตัดสินใจ โดยแบ่งเป็น 7 ระดับ

  1. Tell: คุณตัดสินใจเองทั้งหมด
  2. Sell: คุณตัดสินใจแล้วพยายามโน้มน้าวทีมให้เห็นด้วย
  3. Consult: คุณขอความคิดเห็นจากทีมก่อนตัดสินใจ
  4. Agree: คุณและทีมตัดสินใจร่วมกัน
  5. Advise: คุณให้คำแนะนำ แต่ทีมเป็นผู้ตัดสินใจ
  6. Inquire: ทีมตัดสินใจเอง แต่ต้องแจ้งให้คุณทราบ
  7. Delegate: ทีมตัดสินใจเองทั้งหมด

5. ใช้เทคนิค "RACI Matrix"

RACI Matrix ช่วยกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบในโครงการหรืองานที่ซับซ้อน

  • R (Responsible): ผู้รับผิดชอบงานโดยตรง
  • A (Accountable): ผู้รับผิดชอบสูงสุดในผลลัพธ์ของงาน
  • C (Consulted): ผู้ให้คำปรึกษาหรือข้อมูล
  • I (Informed): ผู้ที่ต้องรับทราบความคืบหน้าของงาน

การติดตามและประเมินผลการมอบหมายงาน

การติดตามและประเมินผลเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการมอบหมายงาน

1. กำหนดจุดตรวจสอบ (Checkpoints)

  • ตั้งจุดตรวจสอบระหว่างทางเพื่อติดตามความคืบหน้า
  • ปรับแผนหรือให้การสนับสนุนเพิ่มเติมหากจำเป็น

2. ให้ Feedback อย่างสม่ำเสมอ

  • ให้ Feedback เชิงบวกเมื่อทำได้ดี
  • ให้ Feedback เชิงสร้างสรรค์เมื่อต้องการการปรับปรุง

3. ประเมินผลลัพธ์

  • เปรียบเทียบผลลัพธ์กับเป้าหมายที่ตั้งไว้
  • วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลว

4. เรียนรู้และปรับปรุง

  • นำบทเรียนที่ได้มาปรับปรุงการมอบหมายงานในครั้งต่อไป
  • พัฒนาทักษะการมอบหมายงานของตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการสั่งงานและมอบหมายงาน

การรู้จักข้อผิดพลาดที่พบบ่อยจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาในการสั่งงานได้

  1. การมอบหมายงานที่ไม่เหมาะสมกับทักษะหรือประสบการณ์
  2. การให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนหรือไม่ครบถ้วน
  3. การไม่กำหนดเป้าหมายหรือกำหนดเวลาที่ชัดเจน
  4. การควบคุมมากเกินไป (Micromanagement)
  5. การไม่ให้อำนาจในการตัดสินใจที่เพียงพอ
  6. การไม่ติดตามหรือให้ Feedback อย่างสม่ำเสมอ 7. การมอบหมายงานแบบ "ทิ้งระเบิด" โดยไม่มีการสนับสนุนที่เพียงพอ 8. การไม่ยอมรับความผิดพลาดหรือการเรียนรู้จากความล้มเหลว

เทคนิคการจัดการกับสถานการณ์ท้าทายในการสั่งงาน

เทคนิคการจัดการกับสถานการณ์ท้าทายในการสั่งงาน

ในการสั่งงานและมอบหมายงาน คุณอาจเผชิญกับสถานการณ์ท้าทายต่างๆ ต่อไปนี้คือเทคนิคในการจัดการกับสถานการณ์เหล่านั้น

1. เมื่อทีมงานขาดความมั่นใจ

  • ให้การสนับสนุนและกำลังใจ
  • แบ่งงานเป็นส่วนย่อยๆ ที่จัดการได้ง่ายขึ้น
  • ให้ทรัพยากรหรือการฝึกอบรมเพิ่มเติมตามความจำเป็น

2. เมื่อทีมงานต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

  • อธิบายเหตุผลและประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
  • รับฟังความกังวลและข้อเสนอแนะของทีม
  • ให้เวลาในการปรับตัวและสนับสนุนระหว่างการเปลี่ยนแปลง

3. เมื่อมีความขัดแย้งในทีม

  • จัดการความขัดแย้งอย่างเป็นกลางและสร้างสรรค์
  • ส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้างและการเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง
  • มุ่งเน้นที่เป้าหมายร่วมกันของทีม

4. เมื่องานไม่เสร็จตามกำหนด

  • วิเคราะห์สาเหตุของความล่าช้า
  • ปรับแผนงานและให้การสนับสนุนเพิ่มเติมตามความจำเป็น
  • ใช้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และปรับปรุงสำหรับการมอบหมายงานในอนาคต

5. เมื่อคุณภาพงานไม่ได้ตามมาตรฐาน

  • ให้ Feedback ที่ชัดเจนและสร้างสรรค์
  • ทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานและความคาดหวัง
  • ให้โอกาสในการแก้ไขและปรับปรุงงาน

การพัฒนาทักษะการสั่งงานและมอบหมายงานอย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาทักษะการสั่งงานและมอบหมายงานเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ต่อไปนี้คือวิธีที่จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะนี้อย่างต่อเนื่อง

  1. เรียนรู้จากประสบการณ์
    • วิเคราะห์ผลลัพธ์ของการมอบหมายงานแต่ละครั้ง
    • บันทึกบทเรียนและสิ่งที่ได้เรียนรู้
  2. ขอ Feedback จากทีม
    • สอบถามความคิดเห็นของทีมเกี่ยวกับวิธีการสั่งงานของคุณ
    • เปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุง
  3. ศึกษาและอัพเดตความรู้
    • อ่านหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับการบริหารจัดการและการมอบหมายงาน
    • เข้าร่วมการอบรมหรือสัมมนาที่เกี่ยวข้อง
  4. ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
    • ทดลองใช้เทคนิคใหม่ๆ ในการมอบหมายงาน
    • ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทักษะการสั่งงานของตัวเอง
  5. แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนร่วมงานหรือเครือข่าย
    • พูดคุยกับผู้บริหารคนอื่นๆ เกี่ยวกับวิธีการสั่งงานที่มีประสิทธิภาพ
    • เข้าร่วมชุมชนหรือกลุ่มผู้บริหารเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้

เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ช่วยในการสั่งงานและติดตามงาน

ในยุคดิจิทัล มีเครื่องมือและเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้การสั่งงานและติดตามงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  1. Project Management Tools
    • Trello: ใช้สำหรับการจัดการงานแบบ Kanban
    • Asana: เหมาะสำหรับการจัดการโครงการและติดตามความคืบหน้า
    • Microsoft Project: เครื่องมือจัดการโครงการขั้นสูง
  2. Communication Tools
    • Slack: แพลตฟอร์มการสื่อสารในทีมแบบเรียลไทม์
    • Microsoft Teams: รวมการสื่อสาร การประชุม และการแชร์ไฟล์
    • Zoom: สำหรับการประชุมทางวิดีโอและการสื่อสารระยะไกล
  3. Task Management Apps
    • Todoist: แอพจัดการงานส่วนบุคคลและทีม
    • Any.do: แอพจัดการงานที่ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ครบครัน
  4. Time Tracking Tools
    • Toggl: ใช้ติดตามเวลาการทำงานและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ
    • RescueTime: ติดตามการใช้เวลาบนคอมพิวเตอร์และมือถือโดยอัตโนมัติ
  5. Collaboration Platforms
    • Google Workspace: รวมเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกัน เช่น Docs, Sheets, Drive
    • Microsoft 365: ชุดเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกันแบบครบวงจร

การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยให้การสั่งงาน ติดตามงาน และการสื่อสารในทีมมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเลือกเครื่องมือที่เหมาะกับลักษณะการทำงานและวัฒนธรรมองค์กรของคุณ

การสร้างวัฒนธรรมการมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพในองค์กร

การสร้างวัฒนธรรมการมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่เพียงหน้าที่ของผู้บริหารคนเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งองค์กร ต่อไปนี้คือวิธีการสร้างวัฒนธรรมดังกล่าว:

  1. ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนา
    • จัดอบรมทักษะการมอบหมายงานให้กับผู้บริหารทุกระดับ
    • สนับสนุนให้พนักงานพัฒนาทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ
  2. สร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ
    • ส่งเสริมการสื่อสารแบบเปิดกว้างและโปร่งใส
    • ให้อิสระในการทำงานและยอมรับความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  3. กำหนดกระบวนการและมาตรฐานการมอบหมายงานที่ชัดเจน
    • สร้างแนวทางปฏิบัติในการมอบหมายงานที่เป็นมาตรฐานทั่วทั้งองค์กร
    • ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่สนับสนุนการมอบหมายงานและติดตามผลอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ยกย่องและให้รางวัลกับความสำเร็จ
    • ชื่นชมและให้การยอมรับกับทีมที่ทำงานสำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย
    • สร้างระบบการให้รางวัลที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการพัฒนาตนเอง
  5. ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์
    • จัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างทีมและแผนกต่างๆ
    • สร้างฐานความรู้ขององค์กรเพื่อรวบรวมแนวปฏิบัติที่ดีในการมอบหมายงาน
  6. ประเมินและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
    • ทำการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานเกี่ยวกับกระบวนการมอบหมายงาน
    • วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับปรุงกระบวนการอย่างสม่ำเสมอ

บทสรุป

ศิลปะการสั่งงานและมอบหมายงานเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของทีมและองค์กร แต่การพัฒนาทักษะการสั่งงานและมอบหมายงานเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการฝึกฝน การเรียนรู้จากประสบการณ์ และการเปิดใจรับฟัง Feedback อยู่เสมอ นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสั่งงานและติดตามงานได้อย่างมาก

การสร้างวัฒนธรรมการมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพในองค์กรเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน การส่งเสริมการเรียนรู้ การสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ และการยกย่องความสำเร็จจะช่วยสร้างวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพ ในท้ายที่สุด การสั่งงานและมอบหมายงานไม่ใช่เพียงการกระจายภาระงาน แต่เป็นโอกาสในการพัฒนาบุคลากร สร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรโดยรวม การมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ทีมสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น บรรลุเป้าหมาย และสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งผู้มอบหมายงานและผู้รับมอบหมายงาน

Related News

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ