CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่ ในแต่ละอุตสาหกรรม และแนวทางการปรับปรุง

By Tanin Chulasub I Head of Performance Marketing at ANGA

12 MARCH 25

8

CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่ ในแต่ละอุตสาหกรรม_ พร้อมแนวทางการปรับปรุง.webp

นักการตลาดออนไลน์ให้ความสำคัญกับการใช้ค่า CTR หรือ Click Through Rate ในการวัดความสำเร็จของแคมเปญที่ได้ทำไป แต่หลาย ๆ คนก็ยังมีความสงสัยว่า CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่จึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ? ด้วยเหตุนี้ ANGA Mastery จึงได้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลออกมาให้คุณทราบว่าในแต่ละอุตสาหกรรมนั้น ค่า CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่บ้าง? พร้อมอธิบายให้เข้าใจแบบชัด ๆ ว่า CTR คืออะไร, แนะนำ CTR บนแต่ละแพลตฟอร์มให้รู้จัก รวมถึงแนะนำวิธีปรับปรุงเว็บไซต์และแคมเปญโฆษณาเพื่อเพิ่ม CTR ให้ทราบกันด้วย

CTR คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร

CTR (Click Through Rate) คือตัวชี้วัดที่บอกว่ามีคนสนใจคลิกเข้าชมโฆษณาหรือเนื้อหาของเรามากน้อยแค่ไหน โดยคำนวณจากจำนวนคลิกเทียบกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดงผล ค่า CTR ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะแสดงว่าโฆษณาหรือเนื้อหานั้นน่าสนใจและตรงใจกลุ่มเป้าหมาย จนทำให้พวกเขาอยากคลิกเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่ง CTR มีความสำคัญมากสำหรับการทำโฆษณาออนไลน์ โดยเฉพาะบน Google Ads เพราะมีผลต่อคะแนนคุณภาพโฆษณา เมื่อ CTR สูง Google จะมองว่าโฆษณาของเรามีประโยชน์ต่อผู้ใช้ ส่งผลให้ได้ตำแหน่งโฆษณาที่ดีขึ้นและอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาได้ด้วย สำหรับการคำนวณค่า CTR นั้นก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยสูตร (จำนวนคลิก ÷ จำนวนการแสดงผล) × 100 

ตัวอย่าง

  • ถ้าโฆษณาของเราถูกแสดง 500 ครั้ง และมีคนคลิก 25 ครั้ง
  • ค่า CTR จะเท่ากับ (25 ÷ 500) × 100 = 5%

CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่ ในแต่ละอุตสาหกรรม

มีหลายคนสงสัยว่าในแต่ละอุตสาหกรรมนั้น ค่า CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่? เพื่อที่จะได้นำไปเปรียบเทียบกับธุรกิจของตัวเองและนำมาตั้งเป็นเป้าหมายในการทำโฆษณา โดยค่า CTR ที่ดีจะแตกต่างกันไปตามประเภทของโฆษณาและธุรกิจ ซึ่งการทำโฆษณาบน Google จะมีอยู่ 2 ช่องทางหลักคือ Search Network (โฆษณาที่แสดงในหน้าค้นหา) และ Display Network (โฆษณารูปภาพที่แสดงตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ) สำหรับ Search Network มีค่าเฉลี่ย CTR อยู่ที่ 3.17% ส่วน Display Network อยู่ที่ 0.46% ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ Search Network จะมี CTR สูงกว่า เพราะคนที่เห็นโฆษณากำลังค้นหาสิ่งที่ต้องการบน Search Engine อย่าง Google อยู่พอดีนั่นเอง

จากการรวบรวมข้อมูล Wordstream โดย LocaliQ ของปี 2023 พบว่าธุรกิจที่มี CTR สูงที่สุดบน Search Network 5 อันดับแรกคือ 

  • หาคู่และบริการจัดหาคู่ (Dating & Personals) มี CTR 6.05%
  • ท่องเที่ยวและการบริการ (Travel & Hospitality) มี CTR 4.68%
  • การรณรงค์และเผยแพร่ (Advocacy) มี CTR 4.41%
  • ยานยนต์ (Auto) มี CTR 4.00%
  • การศึกษา (Education) มี CTR 3.78%
     

ส่วนธุรกิจที่มี CTR ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย คือ

  • เทคโนโลยี (Technology) มี CTR 2.09%
  • ธุรกิจ B2B มี CTR 2.41%
  • บริการผู้บริโภค (Consumer Services) มี CTR 2.41%
  • การจ้างงาน (Employment Services) มี CTR 2.42%
  • สินค้าตกแต่งบ้าน (Home Goods) มี CTR 2.44%
     

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องกังวลถ้า CTR ของคุณต่ำกว่าตัวเลขข้างต้น เพราะนี่เป็นแค่ค่าเฉลี่ยเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าโฆษณาของเราสร้างผลลัพธ์ตามเป้าหมายหรือไม่ เช่น ถ้า CTR ต่ำแต่คนที่คลิกเข้ามาซื้อสินค้าเยอะ ก็ถือว่าโฆษณายังมีประสิทธิภาพดีอยู่ สุดท้ายแล้วการวัดความสำเร็จของโฆษณาต้องดูจากหลาย ๆ ปัจจัยประกอบกัน ไม่ใช่แค่ CTR เพียงอย่างเดียว

รู้จักค่า CTR บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ 

แต่ละแพลตฟอร์มมีวิธีการวัดและแสดงค่า CTR แตกต่างกันไป แม้จะใช้หลักการคำนวณพื้นฐานเดียวกันคือ (จำนวนคลิก ÷ จำนวนการแสดงผล) × 100 แต่รายละเอียดและวิธีการเข้าดูข้อมูลจะมีความเฉพาะตัว ดังนั้นการทำความเข้าใจค่า CTR บนแต่ละแพลตฟอร์มจะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพโฆษณาได้ดียิ่งขึ้น

Facebook Ads

ค่า CTR บน Facebook Ads สามารถดูได้จาก Facebook Business Manager ซึ่งจะแสดงอัตราการคลิกของผู้ที่เห็นโฆษณาเทียบกับจำนวนการแสดงผลทั้งหมด หากโฆษณาใดมี CTR ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แสดงว่าอาจต้องปรับปรุงทั้งในส่วนของรูปภาพ ข้อความ หรือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำมากขึ้น (คอร์สเรียน Facebook Ads)

Google Ads

Google Ads มีความพิเศษตรงที่ CTR จะสัมพันธ์กับพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้ โฆษณาที่มี CTR สูงมักเป็นผลมาจากการใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา และมีตำแหน่งการแสดงผลที่ดี โดยโฆษณาที่อยู่อันดับหนึ่งมักมี CTR สูงกว่าอันดับอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด (คอร์สสอน Google Ads)

Email Marketing

การวัด CTR ในอีเมลมาร์เก็ตติ้งจะคำนวณจากจำนวนคลิกต่อจำนวนอีเมลที่ส่งออกไป ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความสำเร็จในแคมเปญ หากต้องการเพิ่ม CTR ควรให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อหัวข้ออีเมล การเขียนเนื้อหาที่กระชับ และการใช้ปุ่ม CTA ที่ชัดเจน

SEO

CTR ในการทำ SEO (Search Engine Optimization) สามารถดูได้จาก Google Search Console ซึ่งจะแสดงอัตราการคลิกเทียบกับจำนวนการแสดงผลในผลการค้นหา ค่า CTR ที่สูงบ่งบอกว่าหัวข้อและคำอธิบายเว็บไซต์ของเราน่าสนใจ และมีผลต่อการจัดอันดับใน Search Engine (คอร์สเรียน SEO

TikTok Ads

TikTok Ads แสดงค่า CTR ในแดชบอร์ดของ TikTok Ads Manager โดยคำนวณจากจำนวนคลิกที่วิดีโอหรือลิงก์ในโฆษณาเทียบกับจำนวนการแสดงผล ความพิเศษคือแพลตฟอร์มนี้เน้นเนื้อหาวิดีโอสั้น ๆ ดังนั้น CTR จึงขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของวิดีโอในช่วงวินาทีแรกเป็นสำคัญ

วิธีปรับปรุงเว็บไซต์และโฆษณา เพิ่มค่า CTR ให้สูงขึ้น

การปรับปรุงโฆษณาและเว็บไซต์ให้ตรงใจผู้ใช้งาน ทั้งการออกแบบที่สวยงาม เนื้อหาที่น่าสนใจ และการตั้งค่าที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มโอกาสที่คนจะคลิกเข้ามาดูสินค้าหรือบริการของเรามากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจเติบโต มียอดขายที่ดี และมีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดงบโฆษณาในระยะยาว เพราะเมื่อโฆษณามีคนคลิกเยอะ Google จะมองว่าโฆษณาของเรามีคุณภาพ

เลือกคำค้นหาที่ตรงใจลูกค้า

ต้องเลือกคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ลูกค้ามักใช้ค้นหาสินค้าหรือบริการแบบเราจริง ๆ อย่าพุ่งเป้าไปที่คำยอดฮิตที่มีการแข่งขันสูงเพียงอย่างเดียว เพราะนอกจากจะเปลืองงบแล้ว ยังอาจไม่ได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่ม ควรมองหาคำที่เฉพาะเจาะจงและตรงกับสิ่งที่เราขายมากที่สุด

เขียนข้อความโฆษณาที่ชวนคลิก

ข้อความโฆษณาต้องดึงดูดตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ใช้คำที่เข้าใจง่าย ไม่อ้อมค้อม และบอกจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง ควรเน้นย้ำว่าลูกค้าจะได้อะไรจากสินค้าหรือบริการของเรา และจบด้วยคำที่กระตุ้นให้อยากคลิก เช่น "ช้อปเลย" "ดูโปรโมชัน" หรือ "จองตอนนี้"

ทำให้เว็บไซต์น่าใช้งาน

เว็บที่สวย โหลดไว ใช้งานง่าย คือกุญแจสำคัญที่ทำให้คนอยากอยู่นาน ๆ ต้องมีข้อมูลครบถ้วนตามที่โฆษณาไว้ จัดวางทุกอย่างให้หาง่าย คลิกสะดวก ไม่ทำให้ลูกค้าสับสนหรือเสียเวลา

ใช้ส่วนเสริมโฆษณาให้คุ้มค่า

เพิ่มข้อมูลที่เป็นประโยชน์ลงในโฆษณา เช่น เบอร์โทร ที่อยู่ หรือลิงก์ด่วนไปหน้าสินค้าต่าง ๆ ยิ่งให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ยิ่งดูน่าเชื่อถือ และช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้เร็วขึ้น

ทดลองปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ

ลองทำโฆษณาหลายๆ แบบ แล้วดูว่าแบบไหนได้ผลดีที่สุด ทั้งข้อความ รูปภาพ ช่วงเวลาที่ลง หรือตำแหน่งที่แสดง เก็บข้อมูลไว้ดูว่าอะไรที่ลูกค้าชอบ แล้วค่อย ๆ ปรับให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ 

สรุป

คุณก็ได้ทราบกันไปแล้วว่าในแต่ละอุตสาหกรรมนั้น โดยเฉลี่ยค่า CTR ควรอยู่ที่เท่าไหร่กันบ้าง ซึ่งคุณสามารถดูให้รู้ไว้ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องนำมาคิดหนักและยึดถือเป็นเป้าหมายสำคัญของธุรกิจ เพราะ CTR มันไม่มีตัวเลขที่ตายตัว แตกต่างกันไปตามประเภทธุรกิจและเป้าหมายขององค์กร ในบางครั้งยอดขายคุณอาจจะสูงลิ่ว แต่ CTR ดันต่ำ แล้วเป้าหมายของคุณคือยอดขาย เท่านี้ก็ถือว่าคุณประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายแล้ว อย่างไรก็ตาม CTR ก็ถือว่าเป็นตัวชี้วัดความน่าสนใจของแคมเปญการตลาดออนไลน์ได้เช่นกัน

Related News

Advertising Campaign คืออะไร กลยุทธ์เร่งยอดขายแบบทันใจ

ทำความรู้จักแคมเปญโฆษณา หรือ Advertising Campaign คืออะไร สำคัญอย่างไร กระตุ้นยอดขายและทำให้ธุรกิจเติบโตยังไง ทำไมใคร ๆ ก็หันมาทำ อัปเดต 2025

10 วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพิ่มฐานลูกค้านำพาธุรกิจให้เติบโต

รวม 10 วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาด และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อจริงในปี 2025

10 วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ ตอบโจทย์ทุกธุรกิจในปี 2025

อัปเดต 10 วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ล่าสุดสำหรับปี 2025 เพิ่มผลกำไร ผลักดันธุรกิจให้เติบโต ตอบโจทย์ธุรกิจทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กหรือใหญ่

Advertising Campaign คืออะไร กลยุทธ์เร่งยอดขายแบบทันใจ

ทำความรู้จักแคมเปญโฆษณา หรือ Advertising Campaign คืออะไร สำคัญอย่างไร กระตุ้นยอดขายและทำให้ธุรกิจเติบโตยังไง ทำไมใคร ๆ ก็หันมาทำ อัปเดต 2025

10 วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพิ่มฐานลูกค้านำพาธุรกิจให้เติบโต

รวม 10 วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาด และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อจริงในปี 2025

10 วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ ตอบโจทย์ทุกธุรกิจในปี 2025

อัปเดต 10 วิธีเพิ่มยอดขายออนไลน์ล่าสุดสำหรับปี 2025 เพิ่มผลกำไร ผลักดันธุรกิจให้เติบโต ตอบโจทย์ธุรกิจทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กหรือใหญ่

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ