Core Web Vitals คืออะไร? พร้อมวิธีปรับเว็บไซต์ ให้ติด SEO

By Rachavit Whangpatanathon I MD at ANGA Group

10 FEBRUARY 25

72

45.webp

เจ้าของเว็บไซต์ธุรกิจรู้ดีว่า ทุกวันนี้การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ บน Google ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เพราะ Google มีการอัพเดทอัลกอริทึมและเกณฑ์การจัดอันดับอยู่ตลอดเวลา หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ Google ให้น้ำหนักมากในปัจจุบันคือ Core Web Vitals ซึ่งเป็นชุดมาตรวัดประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ทุกเว็บไซต์จำเป็นต้องให้ความสำคัญ หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ นักพัฒนาเว็บ หรือผู้ที่ทำงานด้าน SEO บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้ผ่านเกณฑ์ Core Web Vitals เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ดีบน Google

Core Web Vitals คือ อะไร?

Core Web Vitals เป็นชุดตัวชี้วัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อวัดคุณภาพประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience) โดยประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัดหลักที่สำคัญ ได้แก่

  1. Largest Contentful Paint (LCP) - วัดความเร็วในการโหลดเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ
  2. Interaction to Next Paint (INP) - วัดการตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้งาน
  3. Cumulative Layout Shift (CLS) - วัดความเสถียรของการแสดงผลหน้าเว็บ

ทำไม Core Web Vitals ถึงสำคัญต่อ SEO?

สำหรับผู้ที่กำลังเรียน SEO หรือต้องการวิธีทำให้ SEO ติดหน้าแรก ต้องเข้าใจว่า Core Web Vitals  ไม่ใช่แค่ตัวชี้วัดทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงคุณภาพของเว็บไซต์ในมุมมองของผู้ใช้งานจริง ทำให้การปรับปรุง Core Web Vitals จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) และอัตราการแปลงผล (Conversion Rate) อีกด้วย

องค์ประกอบสำคัญของ Core Web Vitals

ก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไปในแต่ละองค์ประกอบ สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ Core Web Vitals ประกอบด้วยตัวชี้วัดหลัก 3 ประการที่วัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ในมิติที่แตกต่างกัน การปรับปรุงประสิทธิภาพในแต่ละด้านจำเป็นต้องใช้เทคนิคและวิธีการที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเราจะมาดูรายละเอียดกันในแต่ละหัวข้อกัน

ปัจจัย

ผลกระทบต่อ SEO

ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน

LCP

มีผลต่อการจัดอันดับโดยตรง

ความพึงพอใจในการใช้งาน

INP

สัญญาณการจัดอันดับ

การมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์

CLS

ปัจจัยด้าน UX

ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

Largest Contentful Paint (LCP)

LCP คือ ตัวชี้วัดที่วัดระยะเวลาในการโหลดและแสดงผลเนื้อหาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในส่วนที่ผู้ใช้มองเห็น (Viewport) เมื่อเปิดหน้าเว็บ เช่น รูปภาพขนาดใหญ่ วิดีโอ หรือบล็อกข้อความ Google กำหนดให้ค่า LCP ที่ดีควรอยู่ที่ไม่เกิน 2.5 วินาที

การปรับปรุง LCP ให้ได้ผลดีควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • การใช้งาน Content Delivery Network (CDN)
  • การปรับแต่งรูปภาพให้เหมาะสม
  • การลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพเซิร์ฟเวอร์

Interaction to Next Paint (INP)

INP คือ ตัวชี้วัดใหม่ที่ Google นำมาใช้ในปี 2024 แทนที่ First Input Delay (FID) เพื่อวัดความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์ต่อการกระทำของผู้ใช้งาน เช่น การคลิกปุ่ม การกรอกข้อมูล หรือการเลื่อนหน้าจอ Google กำหนดให้ค่า INP ที่ดีควรอยู่ที่ไม่เกิน 200 มิลลิวินาที

การปรับปรุง INP เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การใช้งานและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ โดยมีแนวทางการปรับปรุง ดังนี้

  • การลดและจัดการ JavaScript ที่ไม่จำเป็น
  • การแยกไฟล์ JavaScript ขนาดใหญ่
  • การใช้เทคนิค Code Splitting
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพ Event Handlers

ตารางเปรียบเทียบผลกระทบของ INP ต่อประสบการณ์ผู้ใช้

ค่า INP

ระดับคุณภาพ

ผลกระทบต่อผู้ใช้

< 200ms

ดี

ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บตอบสนองทันที

200-500ms

ต้องปรับปรุง

ผู้ใช้อาจรู้สึกถึงความล่าช้า

> 500ms

แย่

ผู้ใช้อาจเกิดความหงุดหงิดและออกจากเว็บ

Cumulative Layout Shift (CLS)

CLS คือ ตัวชี้วัดที่วัดความเสถียรในการแสดงผลหน้าเว็บ โดยดูว่าองค์ประกอบต่าง ๆ มีการเลื่อนหรือขยับตำแหน่งระหว่างโหลดมากน้อยเพียงใด ปัญหานี้มักเกิดขึ้นเมื่อมีการโหลดโฆษณา รูปภาพ หรือเนื้อหาแบบไดนามิก Google กำหนดให้ค่า CLS ที่ดีควรน้อยกว่า 0.1

การแก้ไขปัญหา CLS จำเป็นต้องมีการวางแผนและออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์อย่างรอบคอบ โดยมีแนวทางดังนี้

  • กำหนดขนาดพื้นที่สำหรับรูปภาพและวิดีโอล่วงหน้า
  • จัดการพื้นที่สำหรับโฆษณาอย่างเหมาะสม
  • ระบุขนาดฟอนต์และสไตล์ที่แน่นอน
  • หลีกเลี่ยงการแทรกเนื้อหาใหม่เหนือเนื้อหาที่มีอยู่

เครื่องมือตรวจสอบและวิเคราะห์ Core Web Vitals

การวัดและติดตามผล Core Web Vitals เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ ปัจจุบันมีเครื่องมือหลายตัวที่ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ค่าต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ศึกษาเรื่อง Google Analytics 4 หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาเรื่อง SEO คืออะไร เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและปรับปรุงเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น

เครื่องมือหลักที่ควรใช้

  1. Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีที่ให้รายงาน Core Web Vitals โดยตรง แสดงผลการวิเคราะห์ทั้งในภาพรวมและรายหน้า ช่วยให้คุณเห็นว่าหน้าไหนมีปัญหาและต้องปรับปรุง
  2. PageSpeed Insights เครื่องมือนี้ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบละเอียด พร้อมให้คำแนะนำในการปรับปรุง ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิธีทำให้ SEO ติดหน้าแรก
  3. Chrome User Experience Report แสดงข้อมูลการใช้งานจริงจากผู้ใช้ Chrome ทั่วโลก ให้ภาพรวมที่ชัดเจนว่าผู้ใช้จริงมีประสบการณ์อย่างไรกับเว็บไซต์ของคุณ

วิธีการปรับปรุง Core Web Vitals 

การปรับปรุง Core Web Vitals ให้ได้ผลดีจำเป็นต้องมองภาพรวมและดำเนินการอย่างเป็นระบบ สำหรับผู้ที่เรียน Google Ads หรือ Facebook Ads มาแล้วบ้าง จะเข้าใจดีว่าประสิทธิภาพของเว็บไซต์ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนและประสิทธิผลของการโฆษณา ดังนั้น การปรับปรุงควรครอบคลุมทุกด้าน ดังนี้

1. การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน

การเลือกใช้โฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพและการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมเป็นพื้นฐานสำคัญ ควรพิจารณา

  • การเลือกแพ็กเกจโฮสติ้งที่เหมาะสมกับขนาดเว็บไซต์
  • การใช้ CDN เพื่อกระจายการโหลด
  • การตั้งค่าการแคช
  • การอัพเกรดเทคโนโลยีเซิร์ฟเวอร์

2. การจัดการรูปภาพและมีเดีย

เนื้อหาประเภทมีเดียมักเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้า ควรดำเนินการ

  • ใช้ฟอร์แมตรูปภาพที่เหมาะสม เช่น WebP
  • บีบอัดรูปภาพโดยไม่เสียคุณภาพ
  • ใช้ Lazy Loading อย่างเหมาะสม
  • กำหนดขนาดรูปภาพล่วงหน้า

3. การจัดการโค้ด

โค้ดที่ไม่มีประสิทธิภาพสามารถส่งผลกระทบต่อทุกด้านของ Core Web Vitals ควรดำเนินการ

  • ลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript
  • แยกไฟล์ JavaScript ที่ไม่จำเป็นต้องโหลดทันที
  • ใช้เทคนิค Code Splitting
  • ลดการใช้งาน Third-party Scripts

4. การติดตามและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

การปรับปรุง Core Web Vitals เป็นกระบวนการต่อเนื่อง ควรดำเนินการ

  • ติดตามผลผ่าน Google Search Console อย่างสม่ำเสมอ
  • วิเคราะห์ผลกระทบต่ออันดับใน Google
  • เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • ปรับปรุงตามผลการวิเคราะห์

สรุปจากผู้เชี่ยวชาญ

ในฐานะที่ ANGA Mastery เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เราพบว่า Core Web Vitals ไม่ได้เป็นเพียงตัวชี้วัดทางเทคนิคเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนคุณภาพโดยรวมของเว็บไซต์ การปรับปรุง Core Web Vitals อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องเข้าใจทั้งด้านเทคนิคและความต้องการของผู้ใช้งาน

จากการวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์มากกว่า 1,000 เว็บไซต์ พบว่าเว็บไซต์ที่มี Core Web Vitals ที่ดีมักจะมีอัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่า Bounce Rate ต่ำกว่า และมีโอกาสในการแปลงผลที่ดีกว่า ดังนั้น การลงทุนเวลาและทรัพยากรในการปรับปรุง Core Web Vitals จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้น แนะนำให้เริ่มจากการวิเคราะห์สถานะปัจจุบันของเว็บไซต์ วางแผนการปรับปรุงอย่างเป็นระบบ และทำการปรับปรุงทีละส่วน โดยให้ความสำคัญกับหน้าที่มีการเข้าชมสูงก่อน การปรับปรุง Core Web Vitals อาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน

Related News

รู้จัก Churn Rate คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นฝันร้ายของคนทำธุรกิจ

Churn Rate คือตัวชี้วัดการสูญเสียลูกค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรธุรกิจ เรียนรู้สาเหตุและ 5 เทคนิคลด Churn Rate ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงในบทความนี้

แชร์ 5 เครื่องมือใช้เช็กอันดับเว็บไซต์ SEO ที่เอเจนซี่ใช้จริง

รวม 5 เครื่องมือเช็กอันดับเว็บที่เอเจนซี่รับทำ SEO ใช้จริง พร้อมวิธีใช้งานทีละขั้นตอน ทั้ง Google Search Console, SERanking, Ahrefs และอื่น ๆ

สอนวิธีเช็กอันดับเว็บไซต์ เช็กอันดับ SEO ด้วยตัวเอง

รวมวิธีสอนเช็กอันดับเว็บง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช็กอันดับ SEO ยังไงได้บ้าง เลือกมาให้แค่วิธีที่ง่ายและฟรี มือใหม่ทำได้ ไม่ต้องจ้างเอเจนซี่ อัปเดต 2025

รู้จัก Churn Rate คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นฝันร้ายของคนทำธุรกิจ

Churn Rate คือตัวชี้วัดการสูญเสียลูกค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรธุรกิจ เรียนรู้สาเหตุและ 5 เทคนิคลด Churn Rate ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงในบทความนี้

แชร์ 5 เครื่องมือใช้เช็กอันดับเว็บไซต์ SEO ที่เอเจนซี่ใช้จริง

รวม 5 เครื่องมือเช็กอันดับเว็บที่เอเจนซี่รับทำ SEO ใช้จริง พร้อมวิธีใช้งานทีละขั้นตอน ทั้ง Google Search Console, SERanking, Ahrefs และอื่น ๆ

สอนวิธีเช็กอันดับเว็บไซต์ เช็กอันดับ SEO ด้วยตัวเอง

รวมวิธีสอนเช็กอันดับเว็บง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช็กอันดับ SEO ยังไงได้บ้าง เลือกมาให้แค่วิธีที่ง่ายและฟรี มือใหม่ทำได้ ไม่ต้องจ้างเอเจนซี่ อัปเดต 2025

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ