10 FEBRUARY 25
120
เจ้าของเว็บไซต์ธุรกิจรู้ดีว่า ทุกวันนี้การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ บน Google ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เพราะ Google มีการอัพเดทอัลกอริทึมและเกณฑ์การจัดอันดับอยู่ตลอดเวลา หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ Google ให้น้ำหนักมากในปัจจุบันคือ Core Web Vitals ซึ่งเป็นชุดมาตรวัดประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ทุกเว็บไซต์จำเป็นต้องให้ความสำคัญ หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ นักพัฒนาเว็บ หรือผู้ที่ทำงานด้าน SEO บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้ผ่านเกณฑ์ Core Web Vitals เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ดีบน Google
Core Web Vitals เป็นชุดตัวชี้วัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อวัดคุณภาพประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience) โดยประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัดหลักที่สำคัญ ได้แก่
สำหรับผู้ที่กำลังเรียน SEO หรือต้องการวิธีทำให้ SEO ติดหน้าแรก ต้องเข้าใจว่า Core Web Vitals ไม่ใช่แค่ตัวชี้วัดทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงคุณภาพของเว็บไซต์ในมุมมองของผู้ใช้งานจริง ทำให้การปรับปรุง Core Web Vitals จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) และอัตราการแปลงผล (Conversion Rate) อีกด้วย
ก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไปในแต่ละองค์ประกอบ สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ Core Web Vitals ประกอบด้วยตัวชี้วัดหลัก 3 ประการที่วัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ในมิติที่แตกต่างกัน การปรับปรุงประสิทธิภาพในแต่ละด้านจำเป็นต้องใช้เทคนิคและวิธีการที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเราจะมาดูรายละเอียดกันในแต่ละหัวข้อกัน
ปัจจัย | ผลกระทบต่อ SEO | ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน |
LCP | มีผลต่อการจัดอันดับโดยตรง | ความพึงพอใจในการใช้งาน |
INP | สัญญาณการจัดอันดับ | การมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ |
CLS | ปัจจัยด้าน UX | ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ |
LCP คือ ตัวชี้วัดที่วัดระยะเวลาในการโหลดและแสดงผลเนื้อหาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในส่วนที่ผู้ใช้มองเห็น (Viewport) เมื่อเปิดหน้าเว็บ เช่น รูปภาพขนาดใหญ่ วิดีโอ หรือบล็อกข้อความ Google กำหนดให้ค่า LCP ที่ดีควรอยู่ที่ไม่เกิน 2.5 วินาที
การปรับปรุง LCP ให้ได้ผลดีควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
INP คือ ตัวชี้วัดใหม่ที่ Google นำมาใช้ในปี 2024 แทนที่ First Input Delay (FID) เพื่อวัดความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์ต่อการกระทำของผู้ใช้งาน เช่น การคลิกปุ่ม การกรอกข้อมูล หรือการเลื่อนหน้าจอ Google กำหนดให้ค่า INP ที่ดีควรอยู่ที่ไม่เกิน 200 มิลลิวินาที
การปรับปรุง INP เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การใช้งานและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ โดยมีแนวทางการปรับปรุง ดังนี้
ค่า INP | ระดับคุณภาพ | ผลกระทบต่อผู้ใช้ |
< 200ms | ดี | ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บตอบสนองทันที |
200-500ms | ต้องปรับปรุง | ผู้ใช้อาจรู้สึกถึงความล่าช้า |
> 500ms | แย่ | ผู้ใช้อาจเกิดความหงุดหงิดและออกจากเว็บ |
CLS คือ ตัวชี้วัดที่วัดความเสถียรในการแสดงผลหน้าเว็บ โดยดูว่าองค์ประกอบต่าง ๆ มีการเลื่อนหรือขยับตำแหน่งระหว่างโหลดมากน้อยเพียงใด ปัญหานี้มักเกิดขึ้นเมื่อมีการโหลดโฆษณา รูปภาพ หรือเนื้อหาแบบไดนามิก Google กำหนดให้ค่า CLS ที่ดีควรน้อยกว่า 0.1
การแก้ไขปัญหา CLS จำเป็นต้องมีการวางแผนและออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์อย่างรอบคอบ โดยมีแนวทางดังนี้
การวัดและติดตามผล Core Web Vitals เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ ปัจจุบันมีเครื่องมือหลายตัวที่ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ค่าต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ศึกษาเรื่อง Google Analytics 4 หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาเรื่อง SEO คืออะไร เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและปรับปรุงเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น
การปรับปรุง Core Web Vitals ให้ได้ผลดีจำเป็นต้องมองภาพรวมและดำเนินการอย่างเป็นระบบ สำหรับผู้ที่เรียน Google Ads หรือ Facebook Ads มาแล้วบ้าง จะเข้าใจดีว่าประสิทธิภาพของเว็บไซต์ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนและประสิทธิผลของการโฆษณา ดังนั้น การปรับปรุงควรครอบคลุมทุกด้าน ดังนี้
การเลือกใช้โฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพและการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมเป็นพื้นฐานสำคัญ ควรพิจารณา
เนื้อหาประเภทมีเดียมักเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้า ควรดำเนินการ
โค้ดที่ไม่มีประสิทธิภาพสามารถส่งผลกระทบต่อทุกด้านของ Core Web Vitals ควรดำเนินการ
การปรับปรุง Core Web Vitals เป็นกระบวนการต่อเนื่อง ควรดำเนินการ
ในฐานะที่ ANGA Mastery เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เราพบว่า Core Web Vitals ไม่ได้เป็นเพียงตัวชี้วัดทางเทคนิคเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนคุณภาพโดยรวมของเว็บไซต์ การปรับปรุง Core Web Vitals อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องเข้าใจทั้งด้านเทคนิคและความต้องการของผู้ใช้งาน
จากการวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์มากกว่า 1,000 เว็บไซต์ พบว่าเว็บไซต์ที่มี Core Web Vitals ที่ดีมักจะมีอัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่า Bounce Rate ต่ำกว่า และมีโอกาสในการแปลงผลที่ดีกว่า ดังนั้น การลงทุนเวลาและทรัพยากรในการปรับปรุง Core Web Vitals จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้น แนะนำให้เริ่มจากการวิเคราะห์สถานะปัจจุบันของเว็บไซต์ วางแผนการปรับปรุงอย่างเป็นระบบ และทำการปรับปรุงทีละส่วน โดยให้ความสำคัญกับหน้าที่มีการเข้าชมสูงก่อน การปรับปรุง Core Web Vitals อาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน
พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์
26 MAY
คอร์สเรียน Google Tag Manager โดยตรงจากเอเจนซี่ สอนทุกเทคนิคการติดตั้ง Tracking โดยไม่ต้องเขียนโค้ด
26 MAY
26 MAY
19 MAY
19 MAY
19 MAY
ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ