Cost Per Lead (CPL) คืออะไร คำนวณอย่างไร ทำไมคนยิงแอดต้องรู้

By Tanin Chulasub I Head of Performance Marketing at ANGA

12 FEBRUARY 25

299

Cost Per Lead (CPL) คืออะไร.webp

การทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันเน้นการวัดผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคุ้มค่ากับการลงทุน โดยเฉพาะการยิงโฆษณาเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่และรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญคือ Cost Per Lead (CPL) หรือต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้าเป้าหมาย นักการตลาดจำเป็นต้องเข้าใจและติดตาม CPL KPI อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่างบประมาณที่ใช้ไปนั้นคุ้มค่าและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับธุรกิจมากน้อยแค่ไหน ANGA Mastery จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Cost Per Lead คืออะไร รู้จักสูตรคำนวณ CPL และเรียนรู้สาเหตุและวิธีแก้ไขเมื่อ CPL สูงขึ้น

Cost Per Lead คืออะไร

Cost Per Lead (CPL) คือค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ธุรกิจต้องจ่าย เพื่อให้ได้ข้อมูลติดต่อของลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าหรือบริการมา โดย Lead ในที่นี้หมายถึงผู้ที่แสดงความสนใจในธุรกิจของคุณผ่านการกระทำต่าง ๆ เช่น การกรอกแบบฟอร์ม สมัครรับอีเมล การดาวน์โหลดเอกสาร หรือการลงทะเบียนทดลองใช้สินค้า ซึ่ง Cost Per Lead จะช่วยวัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด ทำให้คุณสามารถระบุช่องทางการตลาดที่คุ้มค่าที่สุดได้ ช่วยในด้านของการควบคุมและจัดสรรงบประมาณ และช่วยด้านการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

Cost Per Lead คำนวณอย่างไร

การคำนวณ Cost Per Lead เป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อน แต่ต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนและแม่นยำ โดยเฉพาะการรวบรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริงในแคมเปญนั้น ๆ เช่น งบโฆษณา ค่าจ้างผลิตสื่อ ค่าใช้จ่ายในการจ้างเอเจนซี่ หรือค่าเครื่องมือต่าง ๆ จากนั้นนำมาหารด้วยจำนวน Lead ที่ได้รับในช่วงเวลาเดียวกัน ตามสูตร CPL = ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ÷ จำนวน Lead ที่ได้รับ

องค์ประกอบที่ใช้ในการคำนวณ CPL คือ

  • ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาทั้งหมด รวมถึงค่า Click และ Impression
  • ค่าผลิตสื่อและคอนเทนต์ทุกรูปแบบในแคมเปญ
  • ค่าบริการจากผู้เชี่ยวชาญหรือเอเจนซี่ที่เกี่ยวข้อง
  • ค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ 
  • ค่าใช้จ่ายในการทำ Landing Page หรือระบบรองรับ Lead

ตัวอย่างการคิด Cost Per Lead 

การคำนวณ Cost Per Lead สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับหลากหลายธุรกิจและแคมเปญ ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจขายคอร์สเรียนการตลาดออนไลน์ ได้ทำแคมเปญโฆษณาบน Facebook โดยมีค่าใช้จ่ายโฆษณา 15,000 บาท ค่าผลิตคอนเทนต์ 5,000 บาท และได้ผู้สนใจลงทะเบียนเรียนฟรีจำนวน 100 คน เมื่อคำนวณ CPL จะเท่ากับ (15,000 + 5,000) ÷ 100 = 200 บาทต่อ Lead หนึ่งราย หรือกรณีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้งบโฆษณา 50,000 บาท ได้ผู้สนใจจองเข้าชมโครงการ 200 ราย CPL จะอยู่ที่ 250 บาทต่อราย เป็นต้น

CPL KPI กับการวัดความสำเร็จของแคมเปญ

Cost Per Lead คือหนึ่งใน KPI (Key Performance Indicator) ที่สำคัญในการวัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดดิจิทัล เพราะช่วยให้นักการตลาดเข้าใจว่าต้นทุนในการได้มาซึ่งลูกค้าเป้าหมายแต่ละรายนั้นคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับหรือไม่ การตั้งเป้าหมาย CPL KPI ที่เหมาะสมควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น มูลค่าเฉลี่ยต่อการซื้อของลูกค้า (Average Order Value) อัตราการเปลี่ยนจาก Lead เป็นลูกค้า (Lead-to-Customer Rate) และมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้า (Customer Lifetime Value) ซึ่งธุรกิจควรเริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง ศึกษาเกณฑ์มาตรฐานในอุตสาหกรรม และพิจารณาปัจจัยภายในองค์กร เช่น งบประมาณการตลาดและเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจ เพื่อตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่สามารถบรรลุได้จริง

สาเหตุที่ทำให้ Cost Per Lead สูง พร้อมวิธีแก้

ปัญหาเรื่อง Cost Per Lead ที่สูงจนเกินไปเป็นสัญญาณเตือนว่าแคมเปญของคุณอาจกำลังมีปัญหาบางอย่างก็เป็นได้ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มักมาจากการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน การออกแบบโฆษณาที่ไม่น่าดึงดูดใจ หรือการนำ Landing Page ที่ไม่มีประสิทธิภาพไปใช้ยิงโฆษณา ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องวิเคราะห์และปรับปรุงในทุกขั้นตอนของแคมเปญ มาเจาะลึกสาเหตุและวิธีแก้ไข เพื่อให้ Cost Per Lead ถูกลงกันดีกว่า

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายกว้างเกินไป

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่กว้างเกินไปเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ CPL สูง เพราะโฆษณาของคุณอาจเข้าถึงคนที่ไม่มีความสนใจในสินค้าหรือบริการจริง ๆ วิธีแก้ไขคือต้องวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าปัจจุบันอย่างละเอียดเพื่อสร้างโปรไฟล์กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน จากนั้นเริ่มทดสอบการโฆษณากับกลุ่มเป้าหมายย่อย ๆ ก่อน แล้วค่อยขยายวงกว้างเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดี นอกจากนี้ควรนำข้อมูลจากแคมเปญก่อนหน้ามาวิเคราะห์และปรับแต่งกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำยิ่งขึ้นต่อไปด้วย

โฆษณาไม่น่าสนใจหรือไม่ตรงใจผู้ชม

โฆษณาที่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจหรือสื่อสาร Key Message ได้อย่างชัดเจน เป็นผลทำให้ CPL สูงขึ้นได้ เพราะต้องใช้งบประมาณมากขึ้นเพื่อให้ได้ Lead ในจำนวนที่ต้องการ การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการปรับปรุงคอนเทนต์ให้มีความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง พร้อมทั้งสื่อสาร Key Message หรือประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับให้ชัดเจนขึ้น และควรทำ A/B Testing อย่างต่อเนื่องเพื่อค้นหารูปแบบโฆษณาที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

Landing Page ไม่มีประสิทธิภาพ

Landing Page ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ออกแบบไม่สวยงาม เนื้อหาไม่ครบ ไม่มี CTA หรือเกิดข้อผิดพลาด เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ CPL สูงขึ้นได้ เพราะเมื่อมีคนคลิกเข้ามาที่โฆษณาแล้ว แลนดิ้งเพจดันไม่สามารถดึงดูดความสนใจและเชิญชวนให้พวกเขากรอกข้อมูลได้ จึงทำให้ CPL แพงขึ้นกว่าเดิม วิธีแก้ไขคือต้องออกแบบ Landing Page ให้โหลดเร็วและใช้งานง่ายบนทุกอุปกรณ์ โดยเฉพาะมือถือ ลดความซับซ้อนของฟอร์มโดยขอเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นจริง ๆ และเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยการแสดงรีวิวหรือการรับรองจากลูกค้าที่เคยใช้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้เข้าชมกล้าที่จะแชร์ข้อมูลกับคุณ

CPL vs CPA แตกต่างกันอย่างไร

Cost Per Lead (CPL) และ Cost Per Action (CPA) เป็นตัวชี้วัดที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของเป้าหมายและการนำไปใช้ โดย CPL จะมุ่งเน้นการวัดต้นทุนในการได้มาซึ่งข้อมูลติดต่อของลูกค้าที่สนใจ ในขณะที่ CPA จะวัดต้นทุนของการกระทำที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น การสั่งซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

  • CPL เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างฐานข้อมูลลูกค้าเพื่อทำการตลาดต่อ
  • CPA เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นการซื้อขายโดยตรง
  • CPL มักมีต้นทุนต่ำกว่า CPA เพราะเป็นขั้นตอนเริ่มต้นของการแปลงเป็นลูกค้า
  • CPA สะท้อนมูลค่าทางธุรกิจที่แท้จริงได้ดีกว่า เพราะวัดจากการตัดสินใจซื้อ

สรุป

Cost Per Lead คือตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจประสิทธิภาพของการลงทุนในแคมเปญต่าง ๆ การติดตาม CPL KPI อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดและจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบโฆษณา หรือการพัฒนา Landing Page ก็ตาม ทั้งนี้ค่า CPL ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามประเภทธุรกิจและกลุ่มเป้าหมาย สิ่งสำคัญคือต้องวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากลูกค้าในระยะยาว

Related News

Flash Sale คืออะไร มีส่วนช่วยในการเร่งยอดขายอย่างไร

รวมทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับแฟลชเซลล์ Flash Sale คืออะไร ข้อดี ข้อเสียเหมาะกับธุรกิจแบบไหนบ้าง พร้อมแชร์เทคนิคการจัด Flash Saleในปี 2025

Cost Per Lead (CPL) คืออะไร คำนวณอย่างไร ทำไมคนยิงแอดต้องรู้

ทำความเข้าใจ Cost Per Lead คืออะไร ตั้งแต่วิธีคำนวณ สาเหตุที่ทำให้ Cost Per Lead (CPL) สูง พร้อมวิธีแก้ เพื่อผลลัพธ์จากการทำโฆษณาคุ้มค่าที่สุด

อาชีพ SEO Specialist คืออะไร เจาะลึกหน้าที่ ทักษะ และรายได้

ทำความรู้จักอาชีพ SEO Specialist คืออะไร ตำแหน่งนี้มีหน้าที่อะไรบ้าง ต้องมีทักษะอะไรติดตัว หางานยากไหม และได้เงินเดือนเท่าไหร่ อัปเดต 2025

Flash Sale คืออะไร มีส่วนช่วยในการเร่งยอดขายอย่างไร

รวมทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับแฟลชเซลล์ Flash Sale คืออะไร ข้อดี ข้อเสียเหมาะกับธุรกิจแบบไหนบ้าง พร้อมแชร์เทคนิคการจัด Flash Saleในปี 2025

Cost Per Lead (CPL) คืออะไร คำนวณอย่างไร ทำไมคนยิงแอดต้องรู้

ทำความเข้าใจ Cost Per Lead คืออะไร ตั้งแต่วิธีคำนวณ สาเหตุที่ทำให้ Cost Per Lead (CPL) สูง พร้อมวิธีแก้ เพื่อผลลัพธ์จากการทำโฆษณาคุ้มค่าที่สุด

อาชีพ SEO Specialist คืออะไร เจาะลึกหน้าที่ ทักษะ และรายได้

ทำความรู้จักอาชีพ SEO Specialist คืออะไร ตำแหน่งนี้มีหน้าที่อะไรบ้าง ต้องมีทักษะอะไรติดตัว หางานยากไหม และได้เงินเดือนเท่าไหร่ อัปเดต 2025

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ