INP คืออะไร? เมทริกซ์ SEO สำคัญของปี 2025

By Rachavit Whangpatanathon I MD at ANGA Group

10 FEBRUARY 25

173

43.webp

ในโลกของการทำ SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google นั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 เมื่อ Google ประกาศเพิ่มเมทริกซ์ใหม่ที่ชื่อว่า INP (Interaction to Next Paint) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Core Web Vitals คือ ปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google เพราะ INP จะเข้ามาแทนที่เมทริกซ์เดิมอย่าง First Input Delay (FID) อย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024

หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ นักพัฒนาเว็บ หรือผู้ที่ทำงานด้าน SEO การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ INP จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์อีกด้วย บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของ INP พร้อมแนวทางการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

INP คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

INP หรือ Interaction to Next Paint เป็นหนึ่งในเมทริกซ์สำคัญที่ Google ใช้วัดประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ โดยเฉพาะในแง่ของการตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ ซึ่งแตกต่างจาก FID ที่วัดเฉพาะการตอบสนองครั้งแรกเท่านั้น INP จะวัดการตอบสนองตลอดทั้งช่วงเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ ทำให้สะท้อนประสบการณ์การใช้งานจริงได้ดีกว่า

จากข้อมูลของ Google พบว่า 90% ของเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์คือช่วงหลังจากที่เว็บไซต์โหลดเสร็จแล้ว การวัดประสิทธิภาพด้วย INP จึงให้ภาพที่ชัดเจนกว่าว่าผู้ใช้รู้สึกอย่างไรกับความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกปุ่ม การกรอกข้อมูล หรือการโต้ตอบในรูปแบบต่างๆ

องค์ประกอบของ INP ที่ต้องเข้าใจ

ก่อนที่จะเรียนรู้วิธีการปรับปรุง INP เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า INP ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน

  1. Input Delay: ระยะเวลาตั้งแต่ผู้ใช้มีการกระทำจนถึงเวลาที่เบราว์เซอร์เริ่มประมวลผล
  2. Processing Time: ระยะเวลาที่ใช้ในการประมวลผลคำสั่งต่างๆ
  3. Presentation Delay: ระยะเวลาที่ใช้ในการแสดงผลการเปลี่ยนแปลงบนหน้าจอ

เกณฑ์การวัดผล INP

Google ได้กำหนดเกณฑ์การวัดผล INP ไว้อย่างชัดเจน ดังนี้

ระดับคะแนน

เวลาตอบสนอง

ความหมาย

ดี

≤ 200ms

เว็บไซต์มีการตอบสนองที่รวดเร็ว ผู้ใช้รู้สึกว่าการโต้ตอบเป็นไปอย่างทันที

ต้องปรับปรุง

200-500ms

ผู้ใช้อาจรู้สึกถึงความล่าช้าเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

แย่

> 500ms

ผู้ใช้จะรู้สึกถึงความล่าช้าอย่างชัดเจน ส่งผลเสียต่อประสบการณ์การใช้งาน

สาเหตุที่ทำให้ INP มีค่าสูง

การที่เว็บไซต์มีค่า INP สูงนั้นมีสาเหตุได้หลายประการ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการแก้ไขได้อย่างตรงจุด โดยสาเหตุหลักๆ มีดังนี้

1. การทำงานที่ใช้เวลานาน (Long Tasks)

เมื่อมีงานที่ต้องประมวลผลนานเกิน 50 มิลลิวินาที จะถือว่าเป็น Long Task ซึ่งส่งผลให้ Main Thread ถูกบล็อก และไม่สามารถตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ได้ทันที สาเหตุมักมาจาก

  • การเขียน JavaScript ที่ไม่มีประสิทธิภาพ
  • การประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก
  • การทำงานที่ซับซ้อนบน Main Thread
  • การโหลดและประมวลผลไฟล์ขนาดใหญ่

2. ขนาดและความซับซ้อนของ DOM

DOM (Document Object Model) ที่มีขนาดใหญ่เกินไปหรือมีความซับซ้อนสูงจะส่งผลให้

  • การอัพเดท DOM ใช้เวลานาน
  • การ Render ใช้ทรัพยากรมาก
  • การตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ช้าลง

ทาง Google แนะนำว่า DOM ไม่ควรมีจำนวนโหนดเกิน 1,400 โหนด

3. การจัดการ Event Listeners ที่ไม่มีประสิทธิภาพ

Event Listeners ที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมอาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น

  • การเพิ่ม Event Listeners มากเกินความจำเป็น
  • การไม่ลบ Event Listeners เมื่อไม่ได้ใช้งาน
  • การใช้ Event Handlers ที่มีการประมวลผลซับซ้อน

วิธีการวัดและตรวจสอบ INP

การวัดและตรวจสอบ INP เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ โดยเราสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ในการตรวจสอบได้

เครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริง (Field Data)

การเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ INP เพราะสะท้อนประสบการณ์การใช้งานจริง โดยสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ดังนี้

  1. Chrome User Experience Report (CrUX)
    • ให้ข้อมูลจากผู้ใช้ Chrome จริง
    • แสดงผลผ่าน PageSpeed Insights
    • ครอบคลุมเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมสูง
  2. Google Analytics 4
    • เชื่อมต่อกับ Web Vitals Library ได้
    • ติดตามผลได้แบบเรียลไทม์
    • วิเคราะห์แยกตามส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์
  3. Web Vitals JavaScript Library
    • ติดตั้งง่ายผ่าน npm
    • ปรับแต่งการวัดผลได้ตามต้องการ
    • ส่งข้อมูลไปยังระบบวิเคราะห์อื่นๆ ได้

เครื่องมือสำหรับทดสอบ (Lab Data)

การทดสอบในสภาพแวดล้อมจำลองช่วยให้เราสามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้จริง

  1. Chrome DevTools
    • ดู Performance Profile
    • ตรวจสอบ Long Tasks
    • วิเคราะห์การทำงานของ JavaScript
  2. Lighthouse
    • วัดผล Total Blocking Time
    • แนะนำวิธีการปรับปรุง
    • ทดสอบได้ทั้งบน Desktop และ Mobile
  3. WebPageTest
    • จำลองการทดสอบจากหลายตำแหน่ง
    • วิเคราะห์ปัญหาเชิงลึก
    • เปรียบเทียบผลกับคู่แข่ง

วิธีการปรับปรุง INP

การปรับปรุง INP จำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการตอบสนองของเว็บไซต์

1. การปรับปรุงประสิทธิภาพ JavaScript

JavaScript เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ INP การปรับปรุงการทำงานของ JavaScript จึงเป็นสิ่งจำเป็น

  • แบ่งงานใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ
  • ใช้ Web Workers สำหรับงานที่ใช้เวลานาน
  • ลดขนาดไฟล์ด้วยการ Minify
  • ใช้ Code Splitting
  • Lazy Load หรือ Defer JavaScript ที่ไม่จำเป็น

2. การจัดการ DOM อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการ DOM ที่ดีจะช่วยลดภาระการทำงานของเบราว์เซอร์และปรับปรุง INP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • รักษาจำนวนโหนด DOM ให้น้อยกว่า 1,400 โหนด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ DOM ซ้อนกันหลายชั้น
  • ใช้ Virtual DOM สำหรับการอัพเดตที่ซับซ้อน
  • ลบองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นออกจาก DOM
  • ใช้ CSS Selector ที่มีประสิทธิภาพ

3. การจัดการ Event Listeners

การจัดการ Event Listeners อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรับปรุง INP

  • ใช้ Event Delegation แทนการเพิ่ม Event Listeners หลายตัว
  • ลบ Event Listeners ที่ไม่ได้ใช้งาน
  • ใช้ Throttling และ Debouncing สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย
  • ทำ Event Handlers ให้ทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพ

4. การใช้ Web Workers

Web Workers ช่วยให้สามารถทำงานที่ซับซ้อนโดยไม่บล็อก Main Thread

  • ย้ายการคำนวณที่ซับซ้อนไปทำใน Web Workers
  • ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ใน Background
  • จัดการการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูล
  • ทำงานที่ต้องใช้เวลานานโดยไม่กระทบผู้ใช้

บทสรุปและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

INP เป็นเมทริกซ์ที่สำคัญที่จะส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ใน Google ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 เป็นต้นไป การเตรียมพร้อมและปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีค่า INP ที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO คือ การทำงาน พบว่าการปรับปรุง INP ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องการจัดอันดับเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน เช่น

  • ลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate)
  • เพิ่มระยะเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์
  • เพิ่มอัตราการแปลงผล (Conversion Rate)
  • สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถศึกษาได้จากหลักสูตรเรียน SEO ของ ANGA Mastery หรือติดตามข่าวสารและอัพเดทล่าสุดเกี่ยวกับ Core Web Vitals คือ และเมทริกซ์อื่นๆ ได้จากบทความของเรา

นอกจากนี้ เรายังมีบริการรับทำ SEO สำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบครบวงจร พร้อมทั้งหลักสูตร สอน สอน Google Analytics 4 และ เรียน Google Ads สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านการตลาดดิจิทัลอย่างครบถ้วน

Related News

เรียน Website Tracking ที่ไหนดี สอนละเอียด เข้าใจง่าย โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

สอนวิธี Tracking พฤติกรรมผู้ใช้งานเว็บไซต์และวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Data-driven ด้วยโปรแกรม Google Tag Manager และ Google Analytics

Rankmath ปลั๊กอิน WordPress ที่ตอบโจทย์คนทำ SEO

แนะนำ Rankmath SEO เครื่องมือช่วยปรับแต่ง SEO บนเว็บไซต์ WordPress ทั้ง On-Page และ Off-Page ที่มีฟีเจอร์เพียบ! บอกเลยว่านักการตลาดไม่ควรพลาด

Yoast SEO เครื่องมือปรับแต่ง SEO บน WordPress

รู้จัก Yoast SEO คืออะไร เครื่องมือช่วยปรับแต่ง SEO ยอดนิยมบนเว็บไซต์ WordPress พร้อมเช็กลิสต์ใช้ตรวจสอบโครงสร้างเนื้อหา ไต่อันดับสูงบน Google

เรียน Website Tracking ที่ไหนดี สอนละเอียด เข้าใจง่าย โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

สอนวิธี Tracking พฤติกรรมผู้ใช้งานเว็บไซต์และวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Data-driven ด้วยโปรแกรม Google Tag Manager และ Google Analytics

Rankmath ปลั๊กอิน WordPress ที่ตอบโจทย์คนทำ SEO

แนะนำ Rankmath SEO เครื่องมือช่วยปรับแต่ง SEO บนเว็บไซต์ WordPress ทั้ง On-Page และ Off-Page ที่มีฟีเจอร์เพียบ! บอกเลยว่านักการตลาดไม่ควรพลาด

Yoast SEO เครื่องมือปรับแต่ง SEO บน WordPress

รู้จัก Yoast SEO คืออะไร เครื่องมือช่วยปรับแต่ง SEO ยอดนิยมบนเว็บไซต์ WordPress พร้อมเช็กลิสต์ใช้ตรวจสอบโครงสร้างเนื้อหา ไต่อันดับสูงบน Google

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ