ในโลกของการทำ SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google นั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 เมื่อ Google ประกาศเพิ่มเมทริกซ์ใหม่ที่ชื่อว่า INP (Interaction to Next Paint) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Core Web Vitals คือ ปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google เพราะ INP จะเข้ามาแทนที่เมทริกซ์เดิมอย่าง First Input Delay (FID) อย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024
หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ นักพัฒนาเว็บ หรือผู้ที่ทำงานด้าน SEO การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ INP จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์อีกด้วย บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของ INP พร้อมแนวทางการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้
INP คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?
INP หรือ Interaction to Next Paint เป็นหนึ่งในเมทริกซ์สำคัญที่ Google ใช้วัดประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ โดยเฉพาะในแง่ของการตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ ซึ่งแตกต่างจาก FID ที่วัดเฉพาะการตอบสนองครั้งแรกเท่านั้น INP จะวัดการตอบสนองตลอดทั้งช่วงเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ ทำให้สะท้อนประสบการณ์การใช้งานจริงได้ดีกว่า
จากข้อมูลของ Google พบว่า 90% ของเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์คือช่วงหลังจากที่เว็บไซต์โหลดเสร็จแล้ว การวัดประสิทธิภาพด้วย INP จึงให้ภาพที่ชัดเจนกว่าว่าผู้ใช้รู้สึกอย่างไรกับความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกปุ่ม การกรอกข้อมูล หรือการโต้ตอบในรูปแบบต่างๆ
องค์ประกอบของ INP ที่ต้องเข้าใจ
ก่อนที่จะเรียนรู้วิธีการปรับปรุง INP เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า INP ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน
- Input Delay: ระยะเวลาตั้งแต่ผู้ใช้มีการกระทำจนถึงเวลาที่เบราว์เซอร์เริ่มประมวลผล
- Processing Time: ระยะเวลาที่ใช้ในการประมวลผลคำสั่งต่างๆ
- Presentation Delay: ระยะเวลาที่ใช้ในการแสดงผลการเปลี่ยนแปลงบนหน้าจอ
เกณฑ์การวัดผล INP
Google ได้กำหนดเกณฑ์การวัดผล INP ไว้อย่างชัดเจน ดังนี้
ระดับคะแนน |
เวลาตอบสนอง |
ความหมาย |
ดี |
≤ 200ms |
เว็บไซต์มีการตอบสนองที่รวดเร็ว ผู้ใช้รู้สึกว่าการโต้ตอบเป็นไปอย่างทันที |
ต้องปรับปรุง |
200-500ms |
ผู้ใช้อาจรู้สึกถึงความล่าช้าเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ |
แย่ |
> 500ms |
ผู้ใช้จะรู้สึกถึงความล่าช้าอย่างชัดเจน ส่งผลเสียต่อประสบการณ์การใช้งาน |
สาเหตุที่ทำให้ INP มีค่าสูง
การที่เว็บไซต์มีค่า INP สูงนั้นมีสาเหตุได้หลายประการ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการแก้ไขได้อย่างตรงจุด โดยสาเหตุหลักๆ มีดังนี้
1. การทำงานที่ใช้เวลานาน (Long Tasks)
เมื่อมีงานที่ต้องประมวลผลนานเกิน 50 มิลลิวินาที จะถือว่าเป็น Long Task ซึ่งส่งผลให้ Main Thread ถูกบล็อก และไม่สามารถตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ได้ทันที สาเหตุมักมาจาก
- การเขียน JavaScript ที่ไม่มีประสิทธิภาพ
- การประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก
- การทำงานที่ซับซ้อนบน Main Thread
- การโหลดและประมวลผลไฟล์ขนาดใหญ่
2. ขนาดและความซับซ้อนของ DOM
DOM (Document Object Model) ที่มีขนาดใหญ่เกินไปหรือมีความซับซ้อนสูงจะส่งผลให้
- การอัพเดท DOM ใช้เวลานาน
- การ Render ใช้ทรัพยากรมาก
- การตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ช้าลง
ทาง Google แนะนำว่า DOM ไม่ควรมีจำนวนโหนดเกิน 1,400 โหนด
3. การจัดการ Event Listeners ที่ไม่มีประสิทธิภาพ
Event Listeners ที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมอาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น
- การเพิ่ม Event Listeners มากเกินความจำเป็น
- การไม่ลบ Event Listeners เมื่อไม่ได้ใช้งาน
- การใช้ Event Handlers ที่มีการประมวลผลซับซ้อน
วิธีการวัดและตรวจสอบ INP
การวัดและตรวจสอบ INP เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ โดยเราสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ในการตรวจสอบได้
เครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริง (Field Data)
การเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ INP เพราะสะท้อนประสบการณ์การใช้งานจริง โดยสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ดังนี้
- Chrome User Experience Report (CrUX)
- ให้ข้อมูลจากผู้ใช้ Chrome จริง
- แสดงผลผ่าน PageSpeed Insights
- ครอบคลุมเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมสูง
- Google Analytics 4
- เชื่อมต่อกับ Web Vitals Library ได้
- ติดตามผลได้แบบเรียลไทม์
- วิเคราะห์แยกตามส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์
- Web Vitals JavaScript Library
- ติดตั้งง่ายผ่าน npm
- ปรับแต่งการวัดผลได้ตามต้องการ
- ส่งข้อมูลไปยังระบบวิเคราะห์อื่นๆ ได้
เครื่องมือสำหรับทดสอบ (Lab Data)
การทดสอบในสภาพแวดล้อมจำลองช่วยให้เราสามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้จริง
- Chrome DevTools
- ดู Performance Profile
- ตรวจสอบ Long Tasks
- วิเคราะห์การทำงานของ JavaScript
- Lighthouse
- วัดผล Total Blocking Time
- แนะนำวิธีการปรับปรุง
- ทดสอบได้ทั้งบน Desktop และ Mobile
- WebPageTest
- จำลองการทดสอบจากหลายตำแหน่ง
- วิเคราะห์ปัญหาเชิงลึก
- เปรียบเทียบผลกับคู่แข่ง
วิธีการปรับปรุง INP
การปรับปรุง INP จำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการตอบสนองของเว็บไซต์
1. การปรับปรุงประสิทธิภาพ JavaScript
JavaScript เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ INP การปรับปรุงการทำงานของ JavaScript จึงเป็นสิ่งจำเป็น
- แบ่งงานใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ
- ใช้ Web Workers สำหรับงานที่ใช้เวลานาน
- ลดขนาดไฟล์ด้วยการ Minify
- ใช้ Code Splitting
- Lazy Load หรือ Defer JavaScript ที่ไม่จำเป็น
2. การจัดการ DOM อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการ DOM ที่ดีจะช่วยลดภาระการทำงานของเบราว์เซอร์และปรับปรุง INP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- รักษาจำนวนโหนด DOM ให้น้อยกว่า 1,400 โหนด
- หลีกเลี่ยงการใช้ DOM ซ้อนกันหลายชั้น
- ใช้ Virtual DOM สำหรับการอัพเดตที่ซับซ้อน
- ลบองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นออกจาก DOM
- ใช้ CSS Selector ที่มีประสิทธิภาพ
3. การจัดการ Event Listeners
การจัดการ Event Listeners อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรับปรุง INP
- ใช้ Event Delegation แทนการเพิ่ม Event Listeners หลายตัว
- ลบ Event Listeners ที่ไม่ได้ใช้งาน
- ใช้ Throttling และ Debouncing สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย
- ทำ Event Handlers ให้ทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพ
4. การใช้ Web Workers
Web Workers ช่วยให้สามารถทำงานที่ซับซ้อนโดยไม่บล็อก Main Thread
- ย้ายการคำนวณที่ซับซ้อนไปทำใน Web Workers
- ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ใน Background
- จัดการการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูล
- ทำงานที่ต้องใช้เวลานานโดยไม่กระทบผู้ใช้
บทสรุปและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
INP เป็นเมทริกซ์ที่สำคัญที่จะส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ใน Google ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 เป็นต้นไป การเตรียมพร้อมและปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีค่า INP ที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO คือ การทำงาน พบว่าการปรับปรุง INP ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องการจัดอันดับเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน เช่น
- ลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate)
- เพิ่มระยะเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์
- เพิ่มอัตราการแปลงผล (Conversion Rate)
- สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้
สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถศึกษาได้จากหลักสูตรเรียน SEO ของ ANGA Mastery หรือติดตามข่าวสารและอัพเดทล่าสุดเกี่ยวกับ Core Web Vitals คือ และเมทริกซ์อื่นๆ ได้จากบทความของเรา
นอกจากนี้ เรายังมีบริการรับทำ SEO สำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบครบวงจร พร้อมทั้งหลักสูตร สอน สอน Google Analytics 4 และ เรียน Google Ads สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านการตลาดดิจิทัลอย่างครบถ้วน