INP คืออะไร? เมทริกซ์ SEO สำคัญของปี 2025

By Rachavit Whangpatanathon I MD at ANGA Group

10 FEBRUARY 25

97

43.webp

ในโลกของการทำ SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google นั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 เมื่อ Google ประกาศเพิ่มเมทริกซ์ใหม่ที่ชื่อว่า INP (Interaction to Next Paint) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Core Web Vitals คือ ปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google เพราะ INP จะเข้ามาแทนที่เมทริกซ์เดิมอย่าง First Input Delay (FID) อย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024

หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ นักพัฒนาเว็บ หรือผู้ที่ทำงานด้าน SEO การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ INP จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์อีกด้วย บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของ INP พร้อมแนวทางการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

INP คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

INP หรือ Interaction to Next Paint เป็นหนึ่งในเมทริกซ์สำคัญที่ Google ใช้วัดประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ โดยเฉพาะในแง่ของการตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ ซึ่งแตกต่างจาก FID ที่วัดเฉพาะการตอบสนองครั้งแรกเท่านั้น INP จะวัดการตอบสนองตลอดทั้งช่วงเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ ทำให้สะท้อนประสบการณ์การใช้งานจริงได้ดีกว่า

จากข้อมูลของ Google พบว่า 90% ของเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์คือช่วงหลังจากที่เว็บไซต์โหลดเสร็จแล้ว การวัดประสิทธิภาพด้วย INP จึงให้ภาพที่ชัดเจนกว่าว่าผู้ใช้รู้สึกอย่างไรกับความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกปุ่ม การกรอกข้อมูล หรือการโต้ตอบในรูปแบบต่างๆ

องค์ประกอบของ INP ที่ต้องเข้าใจ

ก่อนที่จะเรียนรู้วิธีการปรับปรุง INP เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า INP ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน

  1. Input Delay: ระยะเวลาตั้งแต่ผู้ใช้มีการกระทำจนถึงเวลาที่เบราว์เซอร์เริ่มประมวลผล
  2. Processing Time: ระยะเวลาที่ใช้ในการประมวลผลคำสั่งต่างๆ
  3. Presentation Delay: ระยะเวลาที่ใช้ในการแสดงผลการเปลี่ยนแปลงบนหน้าจอ

เกณฑ์การวัดผล INP

Google ได้กำหนดเกณฑ์การวัดผล INP ไว้อย่างชัดเจน ดังนี้

ระดับคะแนน

เวลาตอบสนอง

ความหมาย

ดี

≤ 200ms

เว็บไซต์มีการตอบสนองที่รวดเร็ว ผู้ใช้รู้สึกว่าการโต้ตอบเป็นไปอย่างทันที

ต้องปรับปรุง

200-500ms

ผู้ใช้อาจรู้สึกถึงความล่าช้าเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

แย่

> 500ms

ผู้ใช้จะรู้สึกถึงความล่าช้าอย่างชัดเจน ส่งผลเสียต่อประสบการณ์การใช้งาน

สาเหตุที่ทำให้ INP มีค่าสูง

การที่เว็บไซต์มีค่า INP สูงนั้นมีสาเหตุได้หลายประการ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการแก้ไขได้อย่างตรงจุด โดยสาเหตุหลักๆ มีดังนี้

1. การทำงานที่ใช้เวลานาน (Long Tasks)

เมื่อมีงานที่ต้องประมวลผลนานเกิน 50 มิลลิวินาที จะถือว่าเป็น Long Task ซึ่งส่งผลให้ Main Thread ถูกบล็อก และไม่สามารถตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ได้ทันที สาเหตุมักมาจาก

  • การเขียน JavaScript ที่ไม่มีประสิทธิภาพ
  • การประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก
  • การทำงานที่ซับซ้อนบน Main Thread
  • การโหลดและประมวลผลไฟล์ขนาดใหญ่

2. ขนาดและความซับซ้อนของ DOM

DOM (Document Object Model) ที่มีขนาดใหญ่เกินไปหรือมีความซับซ้อนสูงจะส่งผลให้

  • การอัพเดท DOM ใช้เวลานาน
  • การ Render ใช้ทรัพยากรมาก
  • การตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ช้าลง

ทาง Google แนะนำว่า DOM ไม่ควรมีจำนวนโหนดเกิน 1,400 โหนด

3. การจัดการ Event Listeners ที่ไม่มีประสิทธิภาพ

Event Listeners ที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมอาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น

  • การเพิ่ม Event Listeners มากเกินความจำเป็น
  • การไม่ลบ Event Listeners เมื่อไม่ได้ใช้งาน
  • การใช้ Event Handlers ที่มีการประมวลผลซับซ้อน

วิธีการวัดและตรวจสอบ INP

การวัดและตรวจสอบ INP เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ โดยเราสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ในการตรวจสอบได้

เครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริง (Field Data)

การเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ INP เพราะสะท้อนประสบการณ์การใช้งานจริง โดยสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ดังนี้

  1. Chrome User Experience Report (CrUX)
    • ให้ข้อมูลจากผู้ใช้ Chrome จริง
    • แสดงผลผ่าน PageSpeed Insights
    • ครอบคลุมเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมสูง
  2. Google Analytics 4
    • เชื่อมต่อกับ Web Vitals Library ได้
    • ติดตามผลได้แบบเรียลไทม์
    • วิเคราะห์แยกตามส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์
  3. Web Vitals JavaScript Library
    • ติดตั้งง่ายผ่าน npm
    • ปรับแต่งการวัดผลได้ตามต้องการ
    • ส่งข้อมูลไปยังระบบวิเคราะห์อื่นๆ ได้

เครื่องมือสำหรับทดสอบ (Lab Data)

การทดสอบในสภาพแวดล้อมจำลองช่วยให้เราสามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้จริง

  1. Chrome DevTools
    • ดู Performance Profile
    • ตรวจสอบ Long Tasks
    • วิเคราะห์การทำงานของ JavaScript
  2. Lighthouse
    • วัดผล Total Blocking Time
    • แนะนำวิธีการปรับปรุง
    • ทดสอบได้ทั้งบน Desktop และ Mobile
  3. WebPageTest
    • จำลองการทดสอบจากหลายตำแหน่ง
    • วิเคราะห์ปัญหาเชิงลึก
    • เปรียบเทียบผลกับคู่แข่ง

วิธีการปรับปรุง INP

การปรับปรุง INP จำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการตอบสนองของเว็บไซต์

1. การปรับปรุงประสิทธิภาพ JavaScript

JavaScript เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ INP การปรับปรุงการทำงานของ JavaScript จึงเป็นสิ่งจำเป็น

  • แบ่งงานใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ
  • ใช้ Web Workers สำหรับงานที่ใช้เวลานาน
  • ลดขนาดไฟล์ด้วยการ Minify
  • ใช้ Code Splitting
  • Lazy Load หรือ Defer JavaScript ที่ไม่จำเป็น

2. การจัดการ DOM อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการ DOM ที่ดีจะช่วยลดภาระการทำงานของเบราว์เซอร์และปรับปรุง INP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • รักษาจำนวนโหนด DOM ให้น้อยกว่า 1,400 โหนด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ DOM ซ้อนกันหลายชั้น
  • ใช้ Virtual DOM สำหรับการอัพเดตที่ซับซ้อน
  • ลบองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นออกจาก DOM
  • ใช้ CSS Selector ที่มีประสิทธิภาพ

3. การจัดการ Event Listeners

การจัดการ Event Listeners อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรับปรุง INP

  • ใช้ Event Delegation แทนการเพิ่ม Event Listeners หลายตัว
  • ลบ Event Listeners ที่ไม่ได้ใช้งาน
  • ใช้ Throttling และ Debouncing สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย
  • ทำ Event Handlers ให้ทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพ

4. การใช้ Web Workers

Web Workers ช่วยให้สามารถทำงานที่ซับซ้อนโดยไม่บล็อก Main Thread

  • ย้ายการคำนวณที่ซับซ้อนไปทำใน Web Workers
  • ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ใน Background
  • จัดการการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูล
  • ทำงานที่ต้องใช้เวลานานโดยไม่กระทบผู้ใช้

บทสรุปและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

INP เป็นเมทริกซ์ที่สำคัญที่จะส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ใน Google ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 เป็นต้นไป การเตรียมพร้อมและปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีค่า INP ที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO คือ การทำงาน พบว่าการปรับปรุง INP ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องการจัดอันดับเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน เช่น

  • ลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate)
  • เพิ่มระยะเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์
  • เพิ่มอัตราการแปลงผล (Conversion Rate)
  • สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถศึกษาได้จากหลักสูตรเรียน SEO ของ ANGA Mastery หรือติดตามข่าวสารและอัพเดทล่าสุดเกี่ยวกับ Core Web Vitals คือ และเมทริกซ์อื่นๆ ได้จากบทความของเรา

นอกจากนี้ เรายังมีบริการรับทำ SEO สำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบครบวงจร พร้อมทั้งหลักสูตร สอน สอน Google Analytics 4 และ เรียน Google Ads สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านการตลาดดิจิทัลอย่างครบถ้วน

Related News

รู้จัก Churn Rate คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นฝันร้ายของคนทำธุรกิจ

Churn Rate คือตัวชี้วัดการสูญเสียลูกค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรธุรกิจ เรียนรู้สาเหตุและ 5 เทคนิคลด Churn Rate ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงในบทความนี้

แชร์ 5 เครื่องมือใช้เช็กอันดับเว็บไซต์ SEO ที่เอเจนซี่ใช้จริง

รวม 5 เครื่องมือเช็กอันดับเว็บที่เอเจนซี่รับทำ SEO ใช้จริง พร้อมวิธีใช้งานทีละขั้นตอน ทั้ง Google Search Console, SERanking, Ahrefs และอื่น ๆ

สอนวิธีเช็กอันดับเว็บไซต์ เช็กอันดับ SEO ด้วยตัวเอง

รวมวิธีสอนเช็กอันดับเว็บง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช็กอันดับ SEO ยังไงได้บ้าง เลือกมาให้แค่วิธีที่ง่ายและฟรี มือใหม่ทำได้ ไม่ต้องจ้างเอเจนซี่ อัปเดต 2025

รู้จัก Churn Rate คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นฝันร้ายของคนทำธุรกิจ

Churn Rate คือตัวชี้วัดการสูญเสียลูกค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรธุรกิจ เรียนรู้สาเหตุและ 5 เทคนิคลด Churn Rate ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงในบทความนี้

แชร์ 5 เครื่องมือใช้เช็กอันดับเว็บไซต์ SEO ที่เอเจนซี่ใช้จริง

รวม 5 เครื่องมือเช็กอันดับเว็บที่เอเจนซี่รับทำ SEO ใช้จริง พร้อมวิธีใช้งานทีละขั้นตอน ทั้ง Google Search Console, SERanking, Ahrefs และอื่น ๆ

สอนวิธีเช็กอันดับเว็บไซต์ เช็กอันดับ SEO ด้วยตัวเอง

รวมวิธีสอนเช็กอันดับเว็บง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช็กอันดับ SEO ยังไงได้บ้าง เลือกมาให้แค่วิธีที่ง่ายและฟรี มือใหม่ทำได้ ไม่ต้องจ้างเอเจนซี่ อัปเดต 2025

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ