13 MARCH 25
60
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าการเขียนบทความ SEO ที่ดีจะต้องเขียนตามหลัก E-E-A-T Factor มีโครงสร้างเนื้อหาที่ชัดเจน และมีการนำคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหามาใช้งาน ซึ่งในหนึ่งหน้าเว็บควรมีคีย์เวิร์ดหลักเพียงแค่หนึ่งคำเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสับสน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องใช้คีย์เวิร์ดหลักคำเดียวนั้นซ้ำไปซ้ำมา คุณควรนำ LSI Keywords มาใช้งานด้วย โดย LSI คือคีย์เวิร์ดแวดล้อมที่มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก (ไม่ใช่คำที่มีความหมายหรือคำพ้องเหมือนคีย์เวิร์ดหลักนะ) LSI Keywords นี่เอง ที่จะช่วยทำให้บทความของคุณน่าสนใจขึ้น มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น และยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพของการทำ SEO เข้าไปอีก เนื่องจาก LSI Keywords คือสิ่งที่ทำให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหา เข้าใจเนื้อหาโดยรวม และสามารถติดอันดับเหมือนคีย์เวิร์ดหลักได้ด้วย ต้องบอกว่านี้คือวิธีทำ SEO ติดหน้าแรกที่หลาย ๆ เว็บไซต์ใช้กันเลยก็ว่าได้ มาเรียนรู้ว่า LSI คืออะไร พร้อมวิธีนำไปใช้งานในบทความนี้กับ ANGA Mastery
LSI Keywords คือกลุ่มคำที่เราใช้เพื่อขยายความคีย์เวิร์ดคำหลักในเนื้อหา ช่วยทำให้บทความมีความสมบูรณ์และอธิบายเรื่องราวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เหมือนการใช้คำแวดล้อมส่งเสริมคีย์เวิร์ดหลักเพื่อให้ผู้อ่านและ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของเรากำลังพูดถึงอะไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเขียนบทความ SEO เกี่ยวกับ "กาแฟ" เราอาจใช้คำว่า "เมล็ดกาแฟ" "วิธีชงกาแฟ" "รสชาติของกาแฟ" "บาริสต้า" เพื่อให้เนื้อหามีความครบถ้วนและน่าสนใจยิ่งขึ้น
LSI มาจากคำว่า Latent Semantic Indexing ซึ่งหมายถึงการใช้ดัชนีความหมายที่เชื่อมโยงกัน คำเหล่านี้ไม่ใช่แค่คำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่เป็นคำที่มีความเกี่ยวข้องและช่วยอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจนขึ้น เช่น ถ้าพูดถึง "บัตรเครดิต" เราจะเจอคำที่เกี่ยวข้องอย่าง "วงเงิน" "ดอกเบี้ย" "คะแนนสะสม" "สิทธิประโยชน์" ซึ่งคำเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจเรื่องบัตรเครดิตได้ดีมากขึ้น
LSI คือส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google ได้ดียิ่งขึ้น เพราะช่วยให้ทั้ง Google และผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ชัดเจนขึ้น เหมือนการเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดครบถ้วน ไม่ใช่แค่พูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา และยังช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับจากคำค้นหาที่หลากหลายมากขึ้นด้วย มาดูกันว่า LSI Keywords ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ได้อย่างไรบ้าง
Google ในปัจจุบันฉลาดขึ้นมาก สามารถเข้าใจความหมายและบริบทของเนื้อหาได้ดีกว่าแต่ก่อน เช่น ถ้าเราเขียนเรื่อง "แอปเปิล" แล้วใช้คำว่า "วิตามิน" "ผลไม้" "สารอาหาร" Google จะรู้ว่าเรากำลังพูดถึงผลแอปเปิล ไม่ใช่บริษัทผลิตไอโฟน แบบนี้เนื้อหาของเราก็จะไปโผล่ให้คนที่อยากรู้เรื่องผลไม้เห็น ไม่ใช่ไปปนกับคนที่กำลังหาข้อมูลเรื่องมือถือ
คนที่สนใจเรื่องการออมเงินอาจใช้คำค้นหาต่างกัน บางคนพิมพ์ "วิธีเก็บเงิน" บางคนพิมพ์ "จัดการการเงิน" บางคนพิมพ์ "ออมเงินยังไงดี" การใช้ LSI Keywords ที่หลากหลายช่วยให้เว็บคุณมีโอกาสติดอันดับจากทุกคำค้นหาเหล่านี้ ยิ่งมีคนเจอเว็บคุณได้หลายทาง ยอดคนอ่านก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
เนื้อหาที่พูดถึงเรื่อง "การดูแลรถยนต์" แล้วมีคำที่เกี่ยวข้องอย่าง "ระบบเครื่องยนต์" "การบำรุงรักษา" "ตรวจเช็กสภาพ" "น้ำมันเครื่อง" จะดูน่าเชื่อถือกว่าเนื้อหาที่พูดแค่ "ดูแลรถ" ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกับการฟังช่างที่มีความรู้จริงอธิบาย ย่อมดูน่าเชื่อถือกว่าคนที่พูดผิวเผิน Google ก็ชอบเนื้อหาที่มีความลึกแบบนี้และมักให้อันดับที่ดีกว่า
แทนที่จะใช้คำว่า "ท่องเที่ยว" ซ้ำๆ ในบทความ เราสามารถใช้คำที่เกี่ยวข้องอย่าง "แหล่งท่องเที่ยว" "จุดชมวิว" "ที่พัก" "เส้นทาง" "กิจกรรม" เพื่อให้เนื้อหาอ่านสนุกและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่น่าเบื่อ และยังช่วยอธิบายรายละเอียดการท่องเที่ยวได้ครบถ้วนกว่าด้วย
การค้นหา LSI Keywords ที่เหมาะสมจะช่วยให้เนื้อหาของคุณโดดเด่นและครบถ้วนมากขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อเครื่องมือ SEO ราคาแพง ๆ หรือจ้างเอเจนซี่รับทำ SEO ให้มาจัดการให้เลย เพราะคุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ตามวิธีเหล่านี้เลย
LSI Keywords คือกลยุทธ์ SEO ที่สำคัญในการช่วยให้เนื้อหาของคุณมีความสมบูรณ์และเข้าใจง่ายมากขึ้น การใช้คำที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรมชาติจะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น ส่งผลให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ดีในระยะยาว นอกจากนี้การทำ Keyword Research อย่างละเอียด การวิเคราะห์ User Intent และการทำ Content Optimization อย่างต่อเนื่องก็เป็นสิ่งสำคัญ
หากคุณสนใจเรียน SEO กับผู้เชี่ยวชาญจากเอเจนซี่ชั้นนำโดยตรง สามารถเข้าร่วมคอร์สเรียน SEO กับ ANGA Mastery ได้ รวมถึงคอร์สเรียน Marketing เรื่องอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น คอร์สสอน Google Analytics 4 หรือจะเป็นคอร์สเรียนยิงแอดอย่าง คอร์สเรียน Google Ads และ คอร์สสอน Facebook Ads ก็ตาม
พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์
13 MARCH
ทำความเข้าใจ Media Plan คืออะไร กลยุทธ์วางแผนสื่อที่ช่วยให้ธุรกิจสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงกลุ่มและมีประสิทธิภาพสูง จนธุรกิจเติบโต
13 MARCH
13 MARCH
13 MARCH
13 MARCH
13 MARCH
ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ