12 MARCH 25
13
Meta Description คือองค์ประกอบสำคัญในการทำให้บทความหรือหน้าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google ซึ่งจะมีลักษณะเป็นข้อความยาวประมาณ 2 บรรทัด คอยอธิบายว่าเนื้อหาในหน้าดังกล่าวพูดถึงเรื่องอะไร ANGA Mastery เชื่อว่าคุณคงเคยเห็น Meta Description ผ่านตาหรือเคยอ่านมาแล้วอย่างแน่นอน ต้องบอกว่า Meta Description สำคัญมาก ห้ามลืมใส่เด็ดขาด เพราะอาจจะส่งผลต่ออันดับ SEO ของคุณได้ บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจเรื่อง Description SEO ให้คุณรู้อย่างละเอียด พร้อมแนะนำหลักการเขียน Meta Description ให้โดนใจ Google และสร้างโอกาสให้เกิดการคลิกแบบรัว ๆ
Meta Description คือคำอธิบายสั้น ๆ ที่ทำหน้าที่บอกรายละเอียดของหน้าเว็บไซต์ให้กับทั้งผู้ใช้งานและ Search Engine โดยจะแสดงผลในบรรทัดที่สองใต้ชื่อเว็บไซต์และ URL บนหน้าผลการค้นหาของ Google หรือ SERP (Search Engine Result Page) Meta Description จะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและตัดสินใจว่าจะคลิกเข้าไปอ่านต่อหรือไม่
ในแง่ของการเขียน Meta Description เราสามารถใส่ได้ในรูปแบบของ HTML Tag ที่มีความยาวประมาณ 120 -160 ตัวอักษรสำหรับภาษาอังกฤษ (Character-Based) และ 990 pixels สำหรับภาษาไทย (Pixel-Based) แม้ว่า Meta Description จะมีผลต่อการจัดอันดับ SEO ไม่มากนัก แต่การเขียนให้มีคุณภาพและใส่ Keyword ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ได้มากขึ้น
Meta Description หรือ Description SEO มีความสำคัญต่อการทำ SEO หลาย ๆ ด้าน ถึงแม้ว่า Meta Description จะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ Google นำมาใช้จัดอันดับเว็บไซต์ก็ตาม การเขียน Meta Description ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นภาพรวมของเนื้อหาและตัดสินใจคลิกเข้ามาอ่านมากขึ้น เมื่อมีคนคลิกเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น CTR และ Traffic ก็สูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบอก Google ว่าเนื้อหาของคุณมีประโยชน์และตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหา ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นได้
Meta Description คือองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับทุกหน้าเว็บไซต์ บทความ SEO ทุกบทต้องมี Meta Description เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกมากที่สุด ซึ่งเราจะบอกว่าการใส่ Meta Description ส่งผลให้การทำ SEO ติดหน้าแรกก็ว่าได้ หากคุณไม่มีการใส่ Meta Description จะทำให้ Google ดึงข้อความใดก็ได้จากหน้าเว็บมาแสดงแทน ซึ่งอาจไม่ใช่ข้อความที่ดึงดูดใจหรือตรงประเด็นกับเนื้อหาที่สุดก็ได้
ดังนั้น Meta Description จึงเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมข้อความที่จะแสดงในผลการค้นหาได้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะเว็บไซต์ขายของออนไลน์ (เว็บไซต์ SEO E-Commerce) ที่สามารถใส่ข้อมูลสำคัญ ๆ เช่น ราคา โปรโมชัน หรือจุดเด่นของสินค้าลงไปได้ ทำให้ลูกค้าเห็นข้อมูลที่ต้องการทันทีตั้งแต่หน้าผลการค้นหานั่นเอง
Meta Description และ Meta Title เป็นองค์ประกอบสำคัญของ Meta tags ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของโค้ด HTML ที่ช่วยบอกข้อมูลสำคัญของเว็บไซต์ให้ Search Engine เข้าใจ ซึ่ง Meta Title ทำหน้าที่เหมือนชื่อเรื่องที่แสดงบนแท็บเบราว์เซอร์และปรากฏเป็นหัวข้อสีฟ้าในผลการค้นหาของ Google ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ เพราะ Google ใช้ Title เป็นตัวบ่งชี้หลักว่าเนื้อหาในหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร ส่วน Meta Description ทำหน้าที่อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมที่แสดงอยู่ใต้ Title ในหน้าผลการค้นหา แม้จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ แต่ช่วยดึงดูดให้คนคลิกเข้าเว็บไซต์มากขึ้น
หลักการเขียน Meta Description ให้โดนใจ Google และถูกใจผู้ใช้งาน มีอยู่ 5 ข้อหลัก ๆ คือการใช้คีย์เวิร์ด (Keyword), ตำแหน่งการวางคีย์เวิร์ด, ความยาวของข้อความ, การเขียนอธิบายที่ชัดเจน และการใช้คำกระตุ้นให้เกิดการคลิก ดังนี้
ปกติแล้ว 1 หน้าเพจจะมีคีย์เวิร์ดหลัก (Focus Keyword) อยู่ 1 คำ และอาจจะมีคีย์เวิร์ดรอง (Cluster Keyword) ที่เป็นคำที่เกี่ยวข้องมาเสริมเพิ่มได้ คุณควรนำคีย์เวิร์ดหลักไปเขียนอธิบายใน Meta Description หรืออาจจะใช้คีย์เวิร์ดรองร่วมด้วยได้ แต่ไม่ควรเกิน 2 คีย์เวิร์ด ให้เลือกใช้คำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหามากที่สุดและควรเขียนให้ Meta Description สอดคล้องกับ Meta Title ด้วย
ควรวางคีย์เวิร์ดหลักไว้บริเวณในช่วงขึ้นต้นหรือช่วงกลางของ Meta Description เพราะถ้าข้อความยาวมาก ๆ Search Engine จะอ่านและแสดงข้อความไม่หมดได้ รวมถึงผู้ใช้งานมักจะอ่านเพียงแค่ข้อความช่วงแรกเท่านั้น
Meta Description ต้องไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ควรเขียนให้กระชับ โดยมีความยาวที่เหมาะสมคือ 120-160 ตัวอักษร (ถึงจะใส่ยาวไปก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อ SEO มากนัก เพราะสุดท้ายแล้วเวลาแสดงผล Google ก็จะตัดเนื้อหาส่วนท้ายออกไปอยู่ดี)
Meta Description คือการเขียนคำอธิบายเนื้อหาในหน้าเพจดังกล่าว ดังนั้น คุณควรเขียนอธิบายอย่างชัดเจนว่าในหน้าเพจนี้จะพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าเนื้อหาในหน้านี้มีสิ่งที่พวกเขามองหาอยู่หรือไม่
Call to Action หรือ CTA คือ คำกระตุ้นการตัดสินใจ เช่น อ่านต่อที่นี่, คลิกเลย, บทความนี้มีคำตอบ, สอนฟรี ฯลฯ อาจจะใส่หรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าใส่ก็จะช่วยสร้างโอกาสในการกระตุ้นให้เกิดการคลิกมากเข้าเว็บไซต์ขึ้น
สรุปว่า Meta Description คือคำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับหน้าเพจนั้น ที่มีความยาว 120-160 ตัวอักษร โดย Meta Description มักจะมาคู่กับ Meta Title หรือชื่อหน้าเพจที่แสดงบน Search Engine ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้คือ Meta Tags อันเป็นส่วนหนึ่งของการทำ On-Page SEO ที่นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ SEO นั่นเอง เมื่อคุณรู้หลักการเขียน Meta Description แล้ว ก็อาจไม่จำเป็นที่จะต้องไปลงคอร์สเรียน SEO ฉบับพื้นฐานหรือจ้างเอเจนซี่รับทำ SEO ให้มาดูแลในส่วนนี้อีกต่อไป เพราะคุณสามารถลงมือทำได้เองแบบง่าย ๆ ทั้งนี้ หากคุณอยากเรียนรู้วิธีทำการตลาดแบบเจาะลึก โดยผู้เชี่ยวชาญล่ะก็ ANGA Mastery เปิดสอนคอร์สเรียน Marketing มากมาย
พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์
13 MARCH
ทำความเข้าใจ Media Plan คืออะไร กลยุทธ์วางแผนสื่อที่ช่วยให้ธุรกิจสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงกลุ่มและมีประสิทธิภาพสูง จนธุรกิจเติบโต
13 MARCH
13 MARCH
13 MARCH
13 MARCH
13 MARCH
ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ