Meta Description คืออะไร พร้อมวิธีเขียนติดให้อันดับ SEO

Featured Image

Meta Description คือองค์ประกอบสำคัญในการทำให้บทความหรือหน้าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google ซึ่งจะมีลักษณะเป็นข้อความยาวประมาณ 2 บรรทัด คอยอธิบายว่าเนื้อหาในหน้าดังกล่าวพูดถึงเรื่องอะไร ANGA Mastery เชื่อว่าคุณคงเคยเห็น Meta Description ผ่านตาหรือเคยอ่านมาแล้วอย่างแน่นอน ต้องบอกว่า Meta Description สำคัญมาก ห้ามลืมใส่เด็ดขาด เพราะอาจจะส่งผลต่ออันดับ SEO ของคุณได้ บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจเรื่อง Description SEO ให้คุณรู้อย่างละเอียด พร้อมแนะนำหลักการเขียน Meta Description ให้โดนใจ Google และสร้างโอกาสให้เกิดการคลิกแบบรัว ๆ 

Meta Description คืออะไร

Meta Description คือคำอธิบายสั้น ๆ ที่ทำหน้าที่บอกรายละเอียดของหน้าเว็บไซต์ให้กับทั้งผู้ใช้งานและ Search Engine โดยจะแสดงผลในบรรทัดที่สองใต้ชื่อเว็บไซต์และ URL บนหน้าผลการค้นหาของ Google หรือ SERP (Search Engine Result Page) Meta Description จะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและตัดสินใจว่าจะคลิกเข้าไปอ่านต่อหรือไม่

ในแง่ของการเขียน Meta Description เราสามารถใส่ได้ในรูปแบบของ HTML Tag ที่มีความยาวประมาณ 120 -160 ตัวอักษรสำหรับภาษาอังกฤษ (Character-Based) และ 990 pixels สำหรับภาษาไทย (Pixel-Based) แม้ว่า Meta Description จะมีผลต่อการจัดอันดับ SEO ไม่มากนัก แต่การเขียนให้มีคุณภาพและใส่ Keyword ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ได้มากขึ้น

Meta Description คืออะไร

Meta Description ส่งผลต่อการทำ SEO ยังไง

Meta Description หรือ Description SEO มีความสำคัญต่อการทำ SEO หลาย ๆ ด้าน ถึงแม้ว่า Meta Description จะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ Google นำมาใช้จัดอันดับเว็บไซต์ก็ตาม การเขียน Meta Description ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นภาพรวมของเนื้อหาและตัดสินใจคลิกเข้ามาอ่านมากขึ้น เมื่อมีคนคลิกเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น CTR และ Traffic ก็สูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบอก Google ว่าเนื้อหาของคุณมีประโยชน์และตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหา ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นได้

Meta Description คือองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับทุกหน้าเว็บไซต์ บทความ SEO ทุกบทต้องมี Meta Description เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกมากที่สุด ซึ่งเราจะบอกว่าการใส่ Meta Description ส่งผลให้การทำ SEO ติดหน้าแรกก็ว่าได้ หากคุณไม่มีการใส่ Meta Description จะทำให้ Google ดึงข้อความใดก็ได้จากหน้าเว็บมาแสดงแทน ซึ่งอาจไม่ใช่ข้อความที่ดึงดูดใจหรือตรงประเด็นกับเนื้อหาที่สุดก็ได้

ดังนั้น Meta Description จึงเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมข้อความที่จะแสดงในผลการค้นหาได้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะเว็บไซต์ขายของออนไลน์ (เว็บไซต์ SEO E-Commerce) ที่สามารถใส่ข้อมูลสำคัญ ๆ เช่น ราคา โปรโมชัน หรือจุดเด่นของสินค้าลงไปได้ ทำให้ลูกค้าเห็นข้อมูลที่ต้องการทันทีตั้งแต่หน้าผลการค้นหานั่นเอง

Meta Description ต่างกับ Meta Title อย่างไร

Meta Description และ Meta Title เป็นองค์ประกอบสำคัญของ Meta tags ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของโค้ด HTML ที่ช่วยบอกข้อมูลสำคัญของเว็บไซต์ให้ Search Engine เข้าใจ ซึ่ง Meta Title ทำหน้าที่เหมือนชื่อเรื่องที่แสดงบนแท็บเบราว์เซอร์และปรากฏเป็นหัวข้อสีฟ้าในผลการค้นหาของ Google ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ เพราะ Google ใช้ Title เป็นตัวบ่งชี้หลักว่าเนื้อหาในหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร ส่วน Meta Description ทำหน้าที่อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมที่แสดงอยู่ใต้ Title ในหน้าผลการค้นหา แม้จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ แต่ช่วยดึงดูดให้คนคลิกเข้าเว็บไซต์มากขึ้น

วิธีเขียน Meta Description ให้โดนใจ Google

วิธีเขียน Meta Description ให้โดนใจ Google

หลักการเขียน Meta Description ให้โดนใจ Google และถูกใจผู้ใช้งาน มีอยู่ 5 ข้อหลัก ๆ คือการใช้คีย์เวิร์ด (Keyword), ตำแหน่งการวางคีย์เวิร์ด, ความยาวของข้อความ, การเขียนอธิบายที่ชัดเจน และการใช้คำกระตุ้นให้เกิดการคลิก ดังนี้

1. การนำคีย์เวิร์ดมาใช้

ปกติแล้ว 1 หน้าเพจจะมีคีย์เวิร์ดหลัก (Focus Keyword) อยู่ 1 คำ และอาจจะมีคีย์เวิร์ดรอง (Cluster Keyword) ที่เป็นคำที่เกี่ยวข้องมาเสริมเพิ่มได้ คุณควรนำคีย์เวิร์ดหลักไปเขียนอธิบายใน Meta Description หรืออาจจะใช้คีย์เวิร์ดรองร่วมด้วยได้ แต่ไม่ควรเกิน 2 คีย์เวิร์ด ให้เลือกใช้คำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหามากที่สุดและควรเขียนให้ Meta Description สอดคล้องกับ Meta Title ด้วย

2. ตำแหน่งการวางคีย์เวิร์ด

ควรวางคีย์เวิร์ดหลักไว้บริเวณในช่วงขึ้นต้นหรือช่วงกลางของ Meta Description เพราะถ้าข้อความยาวมาก ๆ Search Engine จะอ่านและแสดงข้อความไม่หมดได้ รวมถึงผู้ใช้งานมักจะอ่านเพียงแค่ข้อความช่วงแรกเท่านั้น

3. ความยาวของ Meta Description

Meta Description ต้องไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ควรเขียนให้กระชับ โดยมีความยาวที่เหมาะสมคือ 120-160 ตัวอักษร (ถึงจะใส่ยาวไปก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อ SEO มากนัก เพราะสุดท้ายแล้วเวลาแสดงผล Google ก็จะตัดเนื้อหาส่วนท้ายออกไปอยู่ดี)

4. การเขียนอธิบายที่ชัดเจน

Meta Description คือการเขียนคำอธิบายเนื้อหาในหน้าเพจดังกล่าว ดังนั้น คุณควรเขียนอธิบายอย่างชัดเจนว่าในหน้าเพจนี้จะพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าเนื้อหาในหน้านี้มีสิ่งที่พวกเขามองหาอยู่หรือไม่

5. การใช้ Call to Action

Call to Action หรือ CTA คือ คำกระตุ้นการตัดสินใจ เช่น อ่านต่อที่นี่, คลิกเลย, บทความนี้มีคำตอบ, สอนฟรี ฯลฯ อาจจะใส่หรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าใส่ก็จะช่วยสร้างโอกาสในการกระตุ้นให้เกิดการคลิกมากเข้าเว็บไซต์ขึ้น

สรุป

สรุปว่า Meta Description คือคำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับหน้าเพจนั้น ที่มีความยาว 120-160 ตัวอักษร โดย Meta Description มักจะมาคู่กับ Meta Title หรือชื่อหน้าเพจที่แสดงบน Search Engine ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้คือ Meta  Tags อันเป็นส่วนหนึ่งของการทำ On-Page SEO ที่นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ SEO นั่นเอง เมื่อคุณรู้หลักการเขียน Meta Description แล้ว ก็อาจไม่จำเป็นที่จะต้องไปลงคอร์สเรียน SEO ฉบับพื้นฐานหรือจ้างเอเจนซี่รับทำ SEO ให้มาดูแลในส่วนนี้อีกต่อไป เพราะคุณสามารถลงมือทำได้เองแบบง่าย ๆ ทั้งนี้ หากคุณอยากเรียนรู้วิธีทำการตลาดแบบเจาะลึก โดยผู้เชี่ยวชาญล่ะก็ ANGA Mastery เปิดสอนคอร์สเรียน Marketing มากมาย

คอร์สเรียน Google Analytics 4 เรียนออนไลน์
คอร์สเรียน SEO Strategy for Executives (Onsite)
คอร์สเรียน Website Tracking (Onsite)
คอร์สเรียนยิงแอด Facebook (Onsite)
คอร์สเรียน Google Ads

พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์

ปรึกษาคอร์สเรียน
วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

กันยายน 16

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

การทำงานกับ Influencer เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าใหม่ได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าทราฟฟิกจาก Influencer มีผลลัพธ์จริงแค่ไหน ก็ยากที่จะวัด ROI ของการจ้างงาน บทความนี้จะพาคุณทำ Step by Step ตั้งแต่การสร้างลิงก์ ไปจนถึงการดูรายงานใน Google Analytics ทำไมต้อง Track Traffic จาก Influencer? Step by Step วิธี Track User จาก Influencer ด้วย Google Analytics สมมุติว่าตอนนี้ทีมการตลาดของเราจ้าง Influencer ให้ทำคอนเท้นโปรโมทสินค้าและบริการของเราบน Facebook โดยในแคปชั่นที่เขาเขียนจะมีลิงค์เข้าเว็ปไซต์เรา เพื่อให้คนคลิ๊กเข้ามาดูรายละเอียดสินค้าและบริการของเรา 1. สร้างลิงก์ UTM สำหรับ Influencer เราจำเป็นต้องสร้าง UTM Link ของเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ Google Analytics รู้ว่าผู้ใช้มาจากแคมเปญ Influencer เช่น: https://angamastery.co.th/?utm_source=facebook&utm_medium=influencer&utm_campaign=summer_sale (สามารถสร้างได้ที่ ลิงค์นี้) เพียงเท่านี้ Google Analytics จะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่า user ที่คลิ๊กเข้ามาจากลิงค์นี้เป็นคนที่คลิ๊กเข้ามาจาก Facebook Post ของ Influencer ในแคมเปญของ Summer Sale 2. แชร์ลิงก์นี้ให้ Influencer ส่งลิงก์ที่มี UTM ให้ Influencer เพื่อใส่ในคอนเท้นหรือโพสของพวกเขา 3. สร้าง Channel Group ใหม่ใน GA4 (Google Analytics 4) เพื่อให้ทราฟฟิกจาก Influencer แสดงผลใน Channel Group แยกออกมา: 1.เข้า Google Analytics 2. ไปที่ Admin > Data Settings > Channel Groups 3. คลิก Create new channel group 4. ในช่อง Group Name ให้ตั้งชื่อว่า Influencer ว่า Description ว่า GA4 Influencer Tracking 5. ในช่อง Channel name ให้ใส่ Influencer และ กำหนด Channel Condition ดังนี้: 6. กด Save Channel เพียงเท่านี้ก็จะสามารถสร้าง Default Channel Group ที่ชื่อว่า Influencer ได้เองแล้ว 4. ตรวจสอบ Report สรุป เพียงทำตาม Step ง่าย ๆ นี้ คุณก็สามารถ Track User และ Session ที่เข้ามาจาก Influencer ได้แล้ว โดยแยกเป็น Channel Group ใหม่ ทำให้เห็นชัดเจนว่า Influencer มีผลต่อ Conversion และยอดขายจริงหรือไม่

Related News

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics
วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

16 กันยายน

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

เรียนรู้วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics ตั้งแต่การสร้าง UTM ไปจนถึงการตั้งค่า Channel Group ใหม่ เพื่อวัดผลแคมเปญได้อย่างแม่นยำ

อ่านเพิ่มเติม
Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

9 กันยายน

Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

ANGA MASTERY นำเสนอเทคนิคการทำ Facebook Ads ที่เอเจนซี่เราใช้งานจริง นั่นก็คือการทำ Budget Testing Scenario เพื่อยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

อ่านเพิ่มเติม