RFM Model คืออะไร พร้อมตัวอย่างการทำ Customer Segmentation

Featured Image

การเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างลึกซึ้ง กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวของธุรกิจ องค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างหันมาให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าก็คือ RFM Model นั่นเอง

การทำความเข้าใจและนำ RFM Model ไปประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ วางกลยุทธ์การตลาดได้ตรงจุด และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของ RFM Model พร้อมตัวอย่างการประยุกต์ใช้จริงที่จะช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ทันที

ความสำคัญของ RFM Model ในโลกธุรกิจปัจจุบัน

การทำ Onlline Marketing ในปัจจุบันไม่สามารถอาศัยเพียงการคาดเดาหรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป ธุรกิจจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ RFM Model จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าและวางกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าด้วย RFM Model ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบคำถามสำคัญหลายประการ เช่น ใครคือลูกค้าที่มีคุณค่าสูงสุด ลูกค้ากลุ่มใดมีแนวโน้มที่จะซื้อซ้ำ และควรใช้กลยุทธ์อย่างไรกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม เช่นเดียวกับการทำ Content Pillar ที่ต้องเข้าใจความต้องการของผู้อ่าน เพราะการทำ RFM Analysis ก็ต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเช่นกัน

RFM Model คืออะไร พร้อมเจาะลึกองค์ประกอบสำคัญ

RFM Analysis คือการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าโดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลักที่สะท้อนคุณค่าและความสำคัญของลูกค้าแต่ละราย ได้แก่ Recency (R), Frequency (F) และ Monetary (M) ซึ่งแต่ละปัจจัยมีความสำคัญและความหมายที่แตกต่างกัน

Recency (R) – ความถี่ในการซื้อครั้งล่าสุด

Recency คือการวัดระยะเวลาที่ผ่านไปนับจากการทำธุรกรรมครั้งล่าสุดของลูกค้า ยิ่งลูกค้าซื้อสินค้าหรือใช้บริการเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อซ้ำสูง ในทางกลับกัน หากผ่านไปนานโดยที่ลูกค้าไม่ได้มีการทำธุรกรรมใดๆ อาจเป็นสัญญาณว่าลูกค้ากำลังจะหายไป

Frequency (F) – ความถี่ในการซื้อ

Frequency วัดจำนวนครั้งที่ลูกค้าทำธุรกรรมในช่วงเวลาที่กำหนด ลูกค้าที่มีความถี่ในการซื้อสูงมักจะมีความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) สูงด้วย การวิเคราะห์ความถี่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการซื้อและสามารถคาดการณ์การซื้อในอนาคตได้

Monetary (M) – มูลค่าการซื้อ

Monetary คือมูลค่ารวมของการซื้อทั้งหมดที่ลูกค้าแต่ละรายใช้จ่ายกับธุรกิจ ปัจจัยนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าลูกค้ารายใดสร้างรายได้ให้กับธุรกิจมากที่สุด และควรให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มใดเป็นพิเศษ

การแบ่งกลุ่มลูกค้าด้วย RFM Segmentation

RFM Model คืออะไร โมเดลการทำ Customer Segmentation พร้อมตัวอย่าง

การทำ RFM Segmentation เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนแต่มีประโยชน์อย่างมาก เช่นเดียวกับการทำ SWOT Analysis ที่ช่วยวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของธุรกิจ RFM Segmentation ช่วยให้เราเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในฐานลูกค้าของเรา

กลุ่มลูกค้าหลักตาม RFM Model

กลุ่มลูกค้า

ลักษณะเด่น

กลยุทธ์ที่เหมาะสม

Champions

– ซื้อล่าสุดเร็วๆ นี้

– ซื้อบ่อย

– ใช้จ่ายสูง

– มอบสิทธิพิเศษ

– เชิญร่วมกิจกรรม VIP

– ส่งข้อมูลสินค้าใหม่ก่อนใคร

Loyal Customers

– ซื้อสม่ำเสมอ

– ใช้จ่ายปานกลาง

-สูง

– สร้างโปรแกรมสะสมคะแนน

– ส่งโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่ม

Potential Loyalists

– เพิ่งเริ่มซื้อ

– มีแนวโน้มซื้อซ้ำ

– ให้ข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม

– สร้างประสบการณ์ที่ดี

Need Attention

– ซื้อเหนือค่าเฉลี่ย

– ความถี่ลดลง

– มูลค่าการซื้อปานกลาง

– ส่งโปรโมชั่นกระตุ้นการซื้อ

– สอบถามความพึงพอใจ

– แนะนำสินค้าใหม่ที่น่าสนใจ

At Risk

– ไม่ได้ซื้อนาน

– เคยซื้อบ่อยและมูลค่าสูง

– มอบส่วนลดพิเศษ

– ส่งข้อเสนอเฉพาะบุคคล

– ติดต่อสอบถามความต้องการ

Lost Customers

– ไม่ได้ซื้อนานมาก

– ความถี่และมูลค่าต่ำ

– สำรวจสาเหตุการเลิกซื้อ

– เสนอโปรโมชั่นพิเศษ

– ปรับปรุงสินค้าและบริการ

Small Basket

– ซื้อบ่อย

– มูลค่าต่อครั้งต่ำ

– แนะนำสินค้าเพิ่มเติม

– สร้างแพ็คเกจราคาพิเศษ

– ให้ส่วนลดแบบขั้นบันได

New Customers

– เพิ่งเริ่มซื้อครั้งแรก

– ยังไม่มีประวัติซื้อซ้ำ

– ส่งข้อมูลสินค้าครบถ้วน

– มอบส่วนลดต้อนรับ

– สร้างประสบการณ์ที่ดี

Hibernating

– ไม่ได้ซื้อนาน

– ความถี่และมูลค่าต่ำ

– ส่งข่าวสารสม่ำเสมอ

– เสนอสินค้าราคาพิเศษ

– รับฟังความคิดเห็น

กลยุทธ์การประยุกต์ใช้ RFM Model ในธุรกิจ

การนำ RFM Model ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบและการดำเนินการอย่างเป็นระบบ เช่นเดียวกับการทำบทความ SEO ที่ต้องมีการวางแผนเนื้อหาและกลยุทธ์อย่างดี

การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล

การนำ RFM Model ไปใช้ให้ประสบความสำเร็จต้องเริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ธุรกิจจำเป็นต้องมีระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทั้งข้อมูลการซื้อ วันที่ทำรายการ และมูลค่าการซื้อ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลสมัยใหม่เช่น Google Analytics 4 จะช่วยให้การเก็บและประมวลผลข้อมูลทำได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น

นอกจากนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาจใช้เทคนิคทางสถิติหรือเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงเพื่อค้นหารูปแบบและความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ในข้อมูล การทำความเข้าใจข้อมูลอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้การแบ่งกลุ่มลูกค้ามีความแม่นยำและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

การกำหนดกลยุทธ์การตลาดตามกลุ่มลูกค้า

เมื่อได้ข้อมูลการแบ่งกลุ่มลูกค้าแล้ว ขั้นตอนสำคัญคือการกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่ม การทำโฆษณาสินค้า ควรปรับให้เข้ากับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เช่น

1.กลุ่ม Champions

  • สร้างโปรแกรม VIP เฉพาะกลุ่ม
  • ส่งข้อเสนอพิเศษก่อนใคร
  • จัดกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม

2.กลุ่ม Loyal Customers

  • พัฒนาโปรแกรมสะสมแต้ม
  • ส่งข้อเสนอเฉพาะตามความสนใจ
  • สร้างความประทับใจด้วยบริการพิเศษ

3.กลุ่ม Potential Loyalists

  • มอบส่วนลดพิเศษสำหรับการซื้อครั้งต่อไป
  • ให้ข้อมูลสินค้าที่เกี่ยวข้อง
  • สร้างประสบการณ์การใช้สินค้าที่ดี

การติดตามและวัดผล

การติดตามและวัดผลเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้เราทราบว่ากลยุทธ์ที่ใช้มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด เช่นเดียวกับการทำ Business Model Canvas ที่ต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การติดตามผลการทำ RFM ควรทำอย่างสม่ำเสมอและครอบคลุมตัวชี้วัดสำคัญ เช่น

  • อัตราการตอบสนองต่อแคมเปญ
  • การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการซื้อ
  • อัตราการรักษาลูกค้า (Retention Rate)
  • มูลค่าการซื้อเฉลี่ยต่อครั้ง
  • ความถี่ในการซื้อที่เปลี่ยนแปลง

การวัดผลที่ดีควรมีการเปรียบเทียบผลลัพธ์กับเป้าหมายที่ตั้งไว้ และนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การทำ RFM มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลสมัยใหม่จะช่วยให้การติดตามและวัดผลทำได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น

สรุปและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

การนำ RFM Model มาใช้ในการวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดแนะนำว่า ธุรกิจควรเริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ และปรับใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมกับบริบทของธุรกิจ

หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำการตลาดดิจิทัล สามารถศึกษาหลักสูตร เรียน Google Adsสอน Facebook Ads หรือ เรียน SEO กับ ANGA Mastery เพื่อยกระดับธุรกิจของคุณสู่ความสำเร็จไปกับเรา

คอร์สเรียน Google Analytics 4 เรียนออนไลน์
คอร์สเรียน SEO Strategy for Executives (Onsite)
คอร์สเรียน Website Tracking (Onsite)
คอร์สเรียนยิงแอด Facebook (Onsite)
คอร์สเรียน Google Ads

พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์

ลงทะเบียนคลาสของเรา
Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

กันยายน 9

Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

ANGA MASTERY นำเสนอเทคนิคการทำ Facebook Ads ที่เอเจนซี่เราใช้งานจริง นั่นก็คือการทำ Budget Testing Scenario เพื่อยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

Related News

Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

9 กันยายน

Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

ANGA MASTERY นำเสนอเทคนิคการทำ Facebook Ads ที่เอเจนซี่เราใช้งานจริง นั่นก็คือการทำ Budget Testing Scenario เพื่อยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

อ่านเพิ่มเติม
รวม 18 เครื่องมือการตลาดออนไลน์: SEO GA4 และ Website Tools ที่คุณต้องมี

8 กันยายน

รวม 18 เครื่องมือการตลาดออนไลน์: SEO GA4 และ Website Tools ที่คุณต้องมี

แนะนำ 18 เครื่องมือการตลาดออนไลน์ Chrome Extensions สำหรับนักการตลาด ครบทั้ง SEO Tools, Website Tools และ Analytics Tools พร้อมวิธีดาวน์โหลด

อ่านเพิ่มเติม
เทคนิคการตั้งค่า Bidding Strategy บน Google Ads

8 กันยายน

เทคนิคการตั้งค่า Bidding Strategy บน Google Ads

เรียนรู้การตั้งค่า Bidding Strategy บน Google Ads ตั้งแต่ Maximize Clicks, Max Conversion, Target CPA จนถึง Target ROAS พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

อ่านเพิ่มเติม