RFM Model คืออะไร พร้อมตัวอย่างการทำ Customer Segmentation

By Rachavit Whangpatanathon I MD at ANGA Group

10 FEBRUARY 25

344

RFM Model โมเดลการทำ Customer Segmentation พร้อมตัวอย่าง.webp

การเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างลึกซึ้ง กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวของธุรกิจ องค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างหันมาให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าก็คือ RFM Model นั่นเอง

การทำความเข้าใจและนำ RFM Model ไปประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ วางกลยุทธ์การตลาดได้ตรงจุด และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของ RFM Model พร้อมตัวอย่างการประยุกต์ใช้จริงที่จะช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ทันที

ความสำคัญของ RFM Model ในโลกธุรกิจปัจจุบัน

การทำ Onlline Marketing ในปัจจุบันไม่สามารถอาศัยเพียงการคาดเดาหรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป ธุรกิจจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ RFM Model จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าและวางกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าด้วย RFM Model ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบคำถามสำคัญหลายประการ เช่น ใครคือลูกค้าที่มีคุณค่าสูงสุด ลูกค้ากลุ่มใดมีแนวโน้มที่จะซื้อซ้ำ และควรใช้กลยุทธ์อย่างไรกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม เช่นเดียวกับการทำ Content Pillar ที่ต้องเข้าใจความต้องการของผู้อ่าน เพราะการทำ RFM Analysis ก็ต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเช่นกัน

RFM Model คืออะไร พร้อมเจาะลึกองค์ประกอบสำคัญ

RFM Analysis คือการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าโดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลักที่สะท้อนคุณค่าและความสำคัญของลูกค้าแต่ละราย ได้แก่ Recency (R), Frequency (F) และ Monetary (M) ซึ่งแต่ละปัจจัยมีความสำคัญและความหมายที่แตกต่างกัน

Recency (R) - ความถี่ในการซื้อครั้งล่าสุด

Recency คือการวัดระยะเวลาที่ผ่านไปนับจากการทำธุรกรรมครั้งล่าสุดของลูกค้า ยิ่งลูกค้าซื้อสินค้าหรือใช้บริการเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อซ้ำสูง ในทางกลับกัน หากผ่านไปนานโดยที่ลูกค้าไม่ได้มีการทำธุรกรรมใดๆ อาจเป็นสัญญาณว่าลูกค้ากำลังจะหายไป

Frequency (F) - ความถี่ในการซื้อ

Frequency วัดจำนวนครั้งที่ลูกค้าทำธุรกรรมในช่วงเวลาที่กำหนด ลูกค้าที่มีความถี่ในการซื้อสูงมักจะมีความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) สูงด้วย การวิเคราะห์ความถี่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการซื้อและสามารถคาดการณ์การซื้อในอนาคตได้

Monetary (M) - มูลค่าการซื้อ

Monetary คือมูลค่ารวมของการซื้อทั้งหมดที่ลูกค้าแต่ละรายใช้จ่ายกับธุรกิจ ปัจจัยนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าลูกค้ารายใดสร้างรายได้ให้กับธุรกิจมากที่สุด และควรให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มใดเป็นพิเศษ

การแบ่งกลุ่มลูกค้าด้วย RFM Segmentation

RFM Model คืออะไร โมเดลการทำ Customer Segmentation พร้อมตัวอย่าง


การทำ RFM Segmentation เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนแต่มีประโยชน์อย่างมาก เช่นเดียวกับการทำ SWOT Analysis ที่ช่วยวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของธุรกิจ RFM Segmentation ช่วยให้เราเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในฐานลูกค้าของเรา

กลุ่มลูกค้าหลักตาม RFM Model

กลุ่มลูกค้า

ลักษณะเด่น

กลยุทธ์ที่เหมาะสม

Champions

- ซื้อล่าสุดเร็วๆ นี้

- ซื้อบ่อย

- ใช้จ่ายสูง

- มอบสิทธิพิเศษ

- เชิญร่วมกิจกรรม VIP

- ส่งข้อมูลสินค้าใหม่ก่อนใคร

Loyal Customers

- ซื้อสม่ำเสมอ

- ใช้จ่ายปานกลาง

-สูง

- สร้างโปรแกรมสะสมคะแนน

- ส่งโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่ม

Potential Loyalists

- เพิ่งเริ่มซื้อ

- มีแนวโน้มซื้อซ้ำ

- ให้ข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม

- สร้างประสบการณ์ที่ดี

Need Attention

- ซื้อเหนือค่าเฉลี่ย

- ความถี่ลดลง

- มูลค่าการซื้อปานกลาง

- ส่งโปรโมชั่นกระตุ้นการซื้อ

- สอบถามความพึงพอใจ

- แนะนำสินค้าใหม่ที่น่าสนใจ

At Risk

- ไม่ได้ซื้อนาน

- เคยซื้อบ่อยและมูลค่าสูง

- มอบส่วนลดพิเศษ

- ส่งข้อเสนอเฉพาะบุคคล

- ติดต่อสอบถามความต้องการ

Lost Customers

- ไม่ได้ซื้อนานมาก

- ความถี่และมูลค่าต่ำ

- สำรวจสาเหตุการเลิกซื้อ

- เสนอโปรโมชั่นพิเศษ

- ปรับปรุงสินค้าและบริการ

Small Basket

- ซื้อบ่อย

- มูลค่าต่อครั้งต่ำ

- แนะนำสินค้าเพิ่มเติม

- สร้างแพ็คเกจราคาพิเศษ

- ให้ส่วนลดแบบขั้นบันได

New Customers

- เพิ่งเริ่มซื้อครั้งแรก

- ยังไม่มีประวัติซื้อซ้ำ

- ส่งข้อมูลสินค้าครบถ้วน

- มอบส่วนลดต้อนรับ

- สร้างประสบการณ์ที่ดี

Hibernating

- ไม่ได้ซื้อนาน

- ความถี่และมูลค่าต่ำ

- ส่งข่าวสารสม่ำเสมอ

- เสนอสินค้าราคาพิเศษ

- รับฟังความคิดเห็น

กลยุทธ์การประยุกต์ใช้ RFM Model ในธุรกิจ

การนำ RFM Model ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบและการดำเนินการอย่างเป็นระบบ เช่นเดียวกับการทำบทความ SEO ที่ต้องมีการวางแผนเนื้อหาและกลยุทธ์อย่างดี

การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล

การนำ RFM Model ไปใช้ให้ประสบความสำเร็จต้องเริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ธุรกิจจำเป็นต้องมีระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทั้งข้อมูลการซื้อ วันที่ทำรายการ และมูลค่าการซื้อ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลสมัยใหม่เช่น Google Analytics 4 จะช่วยให้การเก็บและประมวลผลข้อมูลทำได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น

นอกจากนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาจใช้เทคนิคทางสถิติหรือเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงเพื่อค้นหารูปแบบและความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ในข้อมูล การทำความเข้าใจข้อมูลอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้การแบ่งกลุ่มลูกค้ามีความแม่นยำและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

การกำหนดกลยุทธ์การตลาดตามกลุ่มลูกค้า

เมื่อได้ข้อมูลการแบ่งกลุ่มลูกค้าแล้ว ขั้นตอนสำคัญคือการกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่ม การทำโฆษณาสินค้า ควรปรับให้เข้ากับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เช่น

1.กลุ่ม Champions

  • สร้างโปรแกรม VIP เฉพาะกลุ่ม
  • ส่งข้อเสนอพิเศษก่อนใคร
  • จัดกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม

2.กลุ่ม Loyal Customers

  • พัฒนาโปรแกรมสะสมแต้ม
  • ส่งข้อเสนอเฉพาะตามความสนใจ
  • สร้างความประทับใจด้วยบริการพิเศษ

3.กลุ่ม Potential Loyalists

  • มอบส่วนลดพิเศษสำหรับการซื้อครั้งต่อไป
  • ให้ข้อมูลสินค้าที่เกี่ยวข้อง
  • สร้างประสบการณ์การใช้สินค้าที่ดี

การติดตามและวัดผล

การติดตามและวัดผลเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้เราทราบว่ากลยุทธ์ที่ใช้มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด เช่นเดียวกับการทำ Business Model Canvas ที่ต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การติดตามผลการทำ RFM ควรทำอย่างสม่ำเสมอและครอบคลุมตัวชี้วัดสำคัญ เช่น

  • อัตราการตอบสนองต่อแคมเปญ
  • การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการซื้อ
  • อัตราการรักษาลูกค้า (Retention Rate)
  • มูลค่าการซื้อเฉลี่ยต่อครั้ง
  • ความถี่ในการซื้อที่เปลี่ยนแปลง

การวัดผลที่ดีควรมีการเปรียบเทียบผลลัพธ์กับเป้าหมายที่ตั้งไว้ และนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การทำ RFM มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลสมัยใหม่จะช่วยให้การติดตามและวัดผลทำได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น

สรุปและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

การนำ RFM Model มาใช้ในการวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดแนะนำว่า ธุรกิจควรเริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ และปรับใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมกับบริบทของธุรกิจ

หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำการตลาดดิจิทัล สามารถศึกษาหลักสูตร เรียน Google Adsสอน Facebook Ads หรือ เรียน SEO กับ ANGA Mastery เพื่อยกระดับธุรกิจของคุณสู่ความสำเร็จไปกับเรา

Related News

รู้จัก Churn Rate คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นฝันร้ายของคนทำธุรกิจ

Churn Rate คือตัวชี้วัดการสูญเสียลูกค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรธุรกิจ เรียนรู้สาเหตุและ 5 เทคนิคลด Churn Rate ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงในบทความนี้

แชร์ 5 เครื่องมือใช้เช็กอันดับเว็บไซต์ SEO ที่เอเจนซี่ใช้จริง

รวม 5 เครื่องมือเช็กอันดับเว็บที่เอเจนซี่รับทำ SEO ใช้จริง พร้อมวิธีใช้งานทีละขั้นตอน ทั้ง Google Search Console, SERanking, Ahrefs และอื่น ๆ

สอนวิธีเช็กอันดับเว็บไซต์ เช็กอันดับ SEO ด้วยตัวเอง

รวมวิธีสอนเช็กอันดับเว็บง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช็กอันดับ SEO ยังไงได้บ้าง เลือกมาให้แค่วิธีที่ง่ายและฟรี มือใหม่ทำได้ ไม่ต้องจ้างเอเจนซี่ อัปเดต 2025

รู้จัก Churn Rate คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นฝันร้ายของคนทำธุรกิจ

Churn Rate คือตัวชี้วัดการสูญเสียลูกค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อกำไรธุรกิจ เรียนรู้สาเหตุและ 5 เทคนิคลด Churn Rate ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงในบทความนี้

แชร์ 5 เครื่องมือใช้เช็กอันดับเว็บไซต์ SEO ที่เอเจนซี่ใช้จริง

รวม 5 เครื่องมือเช็กอันดับเว็บที่เอเจนซี่รับทำ SEO ใช้จริง พร้อมวิธีใช้งานทีละขั้นตอน ทั้ง Google Search Console, SERanking, Ahrefs และอื่น ๆ

สอนวิธีเช็กอันดับเว็บไซต์ เช็กอันดับ SEO ด้วยตัวเอง

รวมวิธีสอนเช็กอันดับเว็บง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช็กอันดับ SEO ยังไงได้บ้าง เลือกมาให้แค่วิธีที่ง่ายและฟรี มือใหม่ทำได้ ไม่ต้องจ้างเอเจนซี่ อัปเดต 2025

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ