E-commerce SEO กลยุทธ์ดันอันดับเว็บไซต์ เพิ่มยอดขายให้ปัง

Featured Image

ธุรกิจ B2C (Business to Consumer) หรือธุรกิจซื้อมาขายไป ไม่อาจอยู่รอดในยุคนี้ได้ หากไม่มีการเปิดหน้าร้านขายของผ่านช่องทางออนไลน์ร่วมด้วย การขายของผ่านช่องทางออนไลน์หรือ E-commerce สามารถทำได้โดยการขายผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่าง Shopee หรือ Lazada และการเปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นของตัวเอง แต่การเปิดเว็บไซต์ขายของออนไลน์ไว้เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้มีการโปรโมตเว็บไซต์ร่วมด้วย ก็อาจจะทำให้ยอดขายไม่สูงเท่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ ด้วยเหตุนี้การทำ SEO บนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (E-commerce SEO) จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะ E-commerce SEO จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google และนำไปสู่ยอดขายในท้ายที่สุด มาเรียนรู้วิธีทำ E-commerce SEO เพิ่มยอดขายกับ ANGA Mastery ผ่านบทความนี้ได้เลย

ปูพื้นฐานทำความเข้าใจ E-commerce และ SEO

E-commerce คือการขายสินค้าหรือบริการผ่านโลกอินเทอร์เน็ต หรือบางคนอาจจะเรียกว่าการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะมีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเป็นสื่อการในการทำธุรกรรมการซื้อ-ขาย ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือการซื้อขายสินค้าบน Shopee หรือการซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ เป็นต้น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นมาหลังจากที่โลกนี้เผชิญกับการระบาดของ COVID-19 เนื่องจากผู้คนต้องกักตัวเองเอาไว้ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย การซื้อ-ขายสินค้าผ่านหน้าร้านจึงทำได้ยาก แต่คนเราก็ต้องซื้อของกินของใช้และโหยหาการช้อปปิ้งเช่นกัน จึงทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

ส่วน SEO คือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหาของ Search Engine หรือที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Google โดย SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization วิธีทำ SEO จะประกอบไปด้วยการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย ใช้งานสะดวก โหลดเร็ว, ปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้มีคุณภาพน่าเชื่อถือ, เขียนบทความ SEO ให้ตอบโจทย์ผู้อ่าน, แก้ไขปัญหาเชิงเทคนิคให้ครบถ้วน, การทำ Backlink เพื่อเพิ่มคะแนนความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ และยังรวมไปถึงการใช้กลยุทธ์ SEO ต่าง ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพด้วย ผลลัพธ์ของการทำ SEO คือเว็บไซต์ติดอันดับสูง > มีคนมองเห็นจำนวนมาก > สร้างโอกาสที่ผู้ใช้งานจะกดเข้ามาในเว็บไซต์ > รู้จักแบรนด์ สินค้า และธุรกิจ > ปิดการขาย > ยอดขายสูงขึ้น และส่งผลให้ธุรกิจเติบโตได้

E-commerce SEO คืออะไร

E-commerce SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ขายของออนไลน์ ตามหลักการทำ SEO เพื่อผลักดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับในตำแหน่งสูงบน Google SERPs (Search Engine Results Pages) เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการบน Google Search มักจะกดเข้าไปที่เว็บไซต์ที่ติดอันดับในตำแหน่งต้น ๆ (1-3) มากกว่าต่ำแหน่งอื่น ๆ จึงทำให้เว็บไซต์ที่อยู่ในตำแหน่งนี้มีโอกาสปิดการขายได้มากกว่านั่นเอง

ลองนึกภาพว่าคุณอยากได้หูฟังบลูทูธดี ๆ สักตัวนึง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซื้อยี่ห้อไหนดี จึงอยากจะค้นหาข้อมูลดูก่อนว่ามันมียี่ห้อไหนที่น่าสนใจบ้างและราคาอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ไหม จึงทำการค้นหาข้อมูลใน Google ด้วยการใช้คำค้นหา (Keyword) อย่าง “หูฟังบลูทูธ”, “หูฟังบลูทูธ ราคาถูก”, “หูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดี” หรือ “หูฟังบลูทูธ เสียงดี” คุณจะพบว่ามีเว็บไซต์ขายของออนไลน์ต่าง ๆ ขึ้นมาให้เลือกเต็มไปหมด แน่นอนว่ากว่า 90% ของเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 1-3 บน Google (หรือแทบจะทุกอันดับ) มีการทำ E-commerce SEO ร่วมด้วย

 

E-commerce SEO มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร

  • เปิดการมองเห็นเว็บไซต์ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้
  • สร้าง Brand Awareness สร้างการจดจำแบรนด์
  • เพิ่ม Organic Traffic บนเว็บไซต์
  • เพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายและเพิ่มรายได้
  • ลดงบประมาณการตลาดออนไลน์ในระยะยาว เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเหมือนการยิงแอด
  • สามารถติดตามผลและวิเคราะห์ผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำและชัดเจน

6 เทคนิคทำ E-commerce SEO เพิ่มยอดขาย

การทำ E-commerce SEO มีความยากและซับซ้อนกว่าการทำ SEO บนเว็บไซต์ทั่วไป เนื่องจากคุณต้องจัดการกับข้อมูลสินค้าจำนวนมาก ติดตั้งระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย แถมยังต้องทำให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือและง่ายต่อการทำธุรกรรมทางการเงินอีกด้วย มาดูกันว่าเทคนิคและวิธีทำ E-commerce SEO เพิ่มยอดขายให้ธุรกิจในปี 2025 ต้องทำกันบ้าง

1. ทำ Keyword Research

Keyword Research คือกระบวนการค้นหาคีย์เวิร์ด (คำค้นหา) ที่ผู้บริโภคใช้ในการค้นหาข้อมูลจริง เพราะคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคมาพบกับเว็บไซต์ธุรกิจของเรา เช่น เว็บไซต์ของเรามีการทำ E-commerce SEO โดยใช้คีย์เวิร์ดคำว่า “วิตามิน C” เมื่อผู้บริโภคค้นหาคำว่า “วิตามิน C” ก็จะพบกับเว็บไซต์ของเรา เป็นต้น คุณสามารถทำ Keyword Research ผ่านเครื่องมือ SEO ฟรีอย่าง Google Keyword Planner ได้ ส่วนวิธีการเลือกคีย์เวิร์ดมาใช้ทำ E-commerce SEO ให้พิจารณาจากความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ, ปริมาณการค้นหา (Search Volume), ความยากในการแข่งขัน และต้องเป็นคำที่มีเจตนาในการซื้อสูงด้วย

2. จัดการปัญหาเชิงเทคนิคให้เรียบร้อย

Technical SEO หรือการทำ SEO เชิงเทคนิคเป็นสิ่งที่คุณต้องแก้ไขและปรับปรุงให้เรียบร้อย เพื่อให้เว็บไซต์พร้อมใช้งานและมีโอกาสที่จะติดอันดับบน Google มากที่สุด หากเว็บไซต์มีปัญหาด้านเทคนิคอย่าง 404 Not Found (ลิงก์เสีย), หน้าเว็บไม่แสดงผลตามที่ตั้งค่าไว้, HTTP Error 500, หน้าเว็บโหลดช้า ฯลฯ ก็อาจส่งผลต่ออันดับ SEO และประสบการณ์การท่องเว็บของผู้ใช้งานได้

3. ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการใช้งาน

Google ให้ความสำคัญกับ User Experience หรือประสบการณ์ของผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก ถึงขั้นเอามาเป็นหนึ่งในปัจจัยจัดอันดับเว็บไซต์เลยก็ว่าได้ หากผู้ใช้งานรู้สึกพึงพอใจกับการใช้งานเว็บไซต์  พวกเขาจะใช้เวลาอยู่บนเว็บนานขึ้น มีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ และแนะนำต่อไป  ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะส่งสัญญาณเชิงบวกไปยัง Search Engine และช่วยให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น แนะนำให้การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายบนทุกอุปกรณ์ โดยเฉพาะมือถือ การปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ และการจัดวางเมนูและระบบค้นหาที่ใช้งานสะดวก

4. เพิ่มประสิทธิภาพหน้าสินค้า

การปรับแต่งหน้าสินค้าเป็นหัวใจสำคัญของ E-commerce SEO เพราะหน้าสินค้าเป็นหน้าที่มีโอกาสสร้างยอดขายโดยตรง แต่ละหน้าควรมีเนื้อหาที่มีคุณภาพ อธิบายรายละเอียดสินค้าอย่างครบถ้วน และใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ ไม่ใส่คีย์เวิร์ดมากจนเกินไป นอกจากนี้ยังควรติดตั้ง Schema Markup เพื่อให้ Google แสดงผลข้อมูลสินค้าในรูปแบบที่น่าสนใจบนหน้าผลการค้นหาด้วย

5. เขียนบทความ SEO ดึงดูดผู้ใช้งาน

เขียนบทความ SEO ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการแบบครบถ้วนทุกแง่มุม โดยเฉพาะการใช้ Long-tail Keyword ที่มีเจตนาในการซื้อสูง อาทิ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสินค้า, คู่มือการเลือกซื้อสินค้าเฉพาะทาง, เปรียบเทียบสินค้า, วิธีแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้า, แนะนำสินค้าใหม่ ฯลฯ พร้อมกับเขียนโดยคำนึกถึง E-E-A-T Factor ด้วย (ถ้าเป็นธุรกิจสุขภาพก็ต้องเขียนให้ตอบโจทย์อัลกอริทึม YMYL) อย่าลืมอัปเดตเนื้อหาและข้อมูลสินค้าให้เป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดด้วย

6. ติดตาม วิเคราะห์ และปรับปรุง

การติดตาม วิเคราะห์ผล และปรับปรุงประสิทธิภาพของกลยุทธ์ E-commerce SEO เป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจว่ากลยุทธ์ที่ใช้อยู่นั้นได้ผลดีหรือไม่ และควรปรับปรุงส่วนใดเพิ่มเติม ข้อมูลจากเครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ จะช่วยให้เราเห็นพฤติกรรมของผู้ใช้ ปัญหาทางเทคนิค และโอกาสในการพัฒนาที่อาจมองข้ามไป การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตามข้อมูลที่ได้จะช่วยให้ผลลัพธ์ด้าน SEO ดีขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับเครื่องมือที่เราแนะนำ คือ Google Search Console สำหรับตรวจสอบประสิทธิภาพ SEO บนเว็บไซต์ และ Google Analytics 4 สำหรับวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้

สรุป

กลยุทธ์ E-Commerce SEO ช่วยสร้างผลลัพธ์ให้แก่ธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายอยู่บนโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างไร หากคุณลงทุนสร้างเว็บไซต์ขายของออนไลน์ขึ้นมาแล้ว อย่าลืมทำ SEO ควบคู่กันไปด้วย เพื่อสร้างยอดขายให้แก่ธุรกิจในระยะยาวต่อไป ทั้งนี้ นอกจากวิธีทำ SEO ด้วยตัวเองที่เราแนะนำไปในบทความนี้แล้ว คุณสามารถลงคอร์สเรียน SEO เพิ่มเติม หรือจ้างบริษัทรับทำ SEO ให้เข้ามาช่วยดูแลควบคู่กันไปได้ เนื่องจากการลงคอร์สเรียนจะช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการมากขึ้น ส่วนการจ้างเอเจนซี่ก็จะช่วยให้กระบวนการมีความถูกต้องมากขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

คอร์สเรียน Google Analytics 4 เรียนออนไลน์
คอร์สเรียน SEO Strategy for Executives (Onsite)
คอร์สเรียน Website Tracking (Onsite)
คอร์สเรียนยิงแอด Facebook (Onsite)
คอร์สเรียน Google Ads

พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์

ปรึกษาคอร์สเรียน
วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

กันยายน 16

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

การทำงานกับ Influencer เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าใหม่ได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าทราฟฟิกจาก Influencer มีผลลัพธ์จริงแค่ไหน ก็ยากที่จะวัด ROI ของการจ้างงาน บทความนี้จะพาคุณทำ Step by Step ตั้งแต่การสร้างลิงก์ ไปจนถึงการดูรายงานใน Google Analytics ทำไมต้อง Track Traffic จาก Influencer? Step by Step วิธี Track User จาก Influencer ด้วย Google Analytics สมมุติว่าตอนนี้ทีมการตลาดของเราจ้าง Influencer ให้ทำคอนเท้นโปรโมทสินค้าและบริการของเราบน Facebook โดยในแคปชั่นที่เขาเขียนจะมีลิงค์เข้าเว็ปไซต์เรา เพื่อให้คนคลิ๊กเข้ามาดูรายละเอียดสินค้าและบริการของเรา 1. สร้างลิงก์ UTM สำหรับ Influencer เราจำเป็นต้องสร้าง UTM Link ของเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ Google Analytics รู้ว่าผู้ใช้มาจากแคมเปญ Influencer เช่น: https://angamastery.co.th/?utm_source=facebook&utm_medium=influencer&utm_campaign=summer_sale (สามารถสร้างได้ที่ ลิงค์นี้) เพียงเท่านี้ Google Analytics จะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่า user ที่คลิ๊กเข้ามาจากลิงค์นี้เป็นคนที่คลิ๊กเข้ามาจาก Facebook Post ของ Influencer ในแคมเปญของ Summer Sale 2. แชร์ลิงก์นี้ให้ Influencer ส่งลิงก์ที่มี UTM ให้ Influencer เพื่อใส่ในคอนเท้นหรือโพสของพวกเขา 3. สร้าง Channel Group ใหม่ใน GA4 (Google Analytics 4) เพื่อให้ทราฟฟิกจาก Influencer แสดงผลใน Channel Group แยกออกมา: 1.เข้า Google Analytics 2. ไปที่ Admin > Data Settings > Channel Groups 3. คลิก Create new channel group 4. ในช่อง Group Name ให้ตั้งชื่อว่า Influencer ว่า Description ว่า GA4 Influencer Tracking 5. ในช่อง Channel name ให้ใส่ Influencer และ กำหนด Channel Condition ดังนี้: 6. กด Save Channel เพียงเท่านี้ก็จะสามารถสร้าง Default Channel Group ที่ชื่อว่า Influencer ได้เองแล้ว 4. ตรวจสอบ Report สรุป เพียงทำตาม Step ง่าย ๆ นี้ คุณก็สามารถ Track User และ Session ที่เข้ามาจาก Influencer ได้แล้ว โดยแยกเป็น Channel Group ใหม่ ทำให้เห็นชัดเจนว่า Influencer มีผลต่อ Conversion และยอดขายจริงหรือไม่

Related News

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics
วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

16 กันยายน

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

เรียนรู้วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics ตั้งแต่การสร้าง UTM ไปจนถึงการตั้งค่า Channel Group ใหม่ เพื่อวัดผลแคมเปญได้อย่างแม่นยำ

อ่านเพิ่มเติม
Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

9 กันยายน

Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

ANGA MASTERY นำเสนอเทคนิคการทำ Facebook Ads ที่เอเจนซี่เราใช้งานจริง นั่นก็คือการทำ Budget Testing Scenario เพื่อยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

อ่านเพิ่มเติม