การโฆษณาบน Google Ads ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “งบประมาณ” เพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Bidding Strategy (กลยุทธ์การประมูลราคา) ที่เราตั้งค่าเพื่อให้ระบบเข้าใจว่าเราต้องการผลลัพธ์แบบใดมากที่สุด การเลือกกลยุทธ์ที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยประหยัดงบโฆษณา แต่ยังทำให้ธุรกิจได้ Conversion ที่ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน Google Ads และ Performance Marketing ผมจะพาคุณไปรู้จัก Automated Bidding Strategy แต่ละแบบ พร้อมทั้งอธิบายว่าเหมาะกับใครและควรเลือกใช้อย่างไร
1. Maximize Clicks
Objective: เพิ่มยอด Click และจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่ต้องการให้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก เช่น ธุรกิจใหม่ที่ต้องการเก็บ Data เพื่อต่อยอด Remarketing
💡 คำแนะนำจาก ANGA Mastery :
กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับช่วงเริ่มต้น โดยเฉพาะเมื่อคุณยังไม่มี Data เพียงพอสำหรับ Conversion Tracking อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ระยะยาวหากเป้าหมายของคุณคือยอดขาย แต่หากยอดที่เราได้รับกลับมา อยู่ในปริมาณและจำนวนที่เราคาดหวังแล้ว สามารถเลือก bidding strategy อันนี้ต่อได้
2. Target Impression Share
Objective: เพิ่มการมองเห็น (Visibility) ของโฆษณา
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่เน้นสร้าง Brand Awareness ต้องการให้แบรนด์ถูกจดจำในตลาด
💡คำแนะนำจาก ANGA Mastery :
การตั้งค่า Target Impression Share เหมาะมากสำหรับแคมเปญ Awareness เช่น การเปิดตัวสินค้าใหม่ เพราะจะทำให้โฆษณาของคุณแสดงผลในตำแหน่งที่มองเห็นได้มากที่สุด
3. Target CPA (Cost per Acquisition/Action)
Objective: ได้ Conversion ตาม Target CPA ที่ตั้งไว้
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่มี Funnel ชัดเจน เช่น การสมัครสมาชิก หรือธุรกิจ E-commerce ที่ต้องการ Lead และ Conversion ตรงเป้าจากข้อมูลเก่าที่เราเคยทำได้
💡คำแนะนำจาก ANGA Mastery :
กลยุทธ์นี้เหมาะเมื่อคุณมี Data Conversion เพียงพอในอดีต (อย่างน้อย 30–50 Conversions ต่อเดือน) เพื่อให้ Machine Learning ของ Google Ads ทำงานได้แม่นยำ
4. Target ROAS (Return on Ad Spend)
Objective: ได้ผลตอบแทนจากโฆษณาตามเป้าที่ตั้งไว้
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจ E-commerce ที่ขายสินค้าหลากหลายราคา ต้องการคุมให้ “รายได้ที่เกิดจากโฆษณา” สูงกว่าต้นทุน
💡คำแนะนำจาก ANGA Mastery :
Target ROAS เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีมากกับธุรกิจที่มี Conversion Value แตกต่างกัน เช่น ร้านค้าออนไลน์ที่ขายทั้งสินค้าชิ้นเล็กและสินค้าราคาสูง
5. Maximize Conversions
Objective: เพิ่มจำนวน Conversion โดยไม่กำหนดยอด Conversion
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่เน้นปริมาณ Conversion เช่น Subscription, การสมัครทดลองใช้งานฟรี
💡คำแนะนำจาก ANGA Mastery :หากธุรกิจของคุณต้องการจำนวนออเดอร์ที่มากขึ้น โดยที่ไม่สนใจว่าจะขาย product sku อันไหนออก ทางทีม ANGA แนะนำให้ใช้ตัวเลือกนี้ เพราะระบสามารถเรียนรู้ว่า Conversion มาจากกลุ่มผู้ใช้แบบไหน แต่ควรปรับไปใช้ Target CPA เมื่อมี Data มากพอ
6. Maximize Conversion Value
Objective: เพิ่มมูลค่า Conversion รวมให้ได้สูงสุด
เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่เน้นยอดขายต่อออเดอร์ เช่น Luxury Brand หรือ B2B ที่มียอดการสั่งซื้อสูง
💡คำแนะนำจาก ANGA Mastery :
หากธุรกิจคุณเน้นคุณภาพของ Lead หรือยอดขายมูลค่าสูง ควรเลือกกลยุทธ์นี้เพื่อให้ระบบจัดสรรงบไปยัง Keyword หรือ Audience ที่มีโอกาสสร้าง Conversion Value สูงสุด
วิธีเลือกกลยุทธ์ที่ใช่สำหรับธุรกิจของคุณ
- ธุรกิจเริ่มต้น: ใช้ Maximize Clicks เพื่อเก็บ Data ก่อน
- ต้องการการมองเห็นในตลาด: ใช้ Target Impression Share
- มี Data เก่าที่ชัดเจน: ใช้ Target CPA เพื่อคุมต้นทุนต่อ Conversion
- E-commerce ที่เน้นยอดขายปลพรายได้: ใช้ Target ROAS หรือ Maximize Conversion Value
- ธุรกิจที่เน้นจำนสนยอดขาย: ใช้ Maximize Conversions
บทสรุป
กลยุทธ์การประมูล (Bidding Strategy) ไม่ใช่สูตรตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับ เป้าหมายทางธุรกิจ และ Data ที่คุณมีอยู่ในมือ การเลือกกลยุทธ์ให้ถูกต้องตั้งแต่แรกคือกุญแจที่จะทำให้คุณใช้ Google Ads ได้อย่างคุ้มค่าและสร้างผลลัพธ์เชิงธุรกิจที่แท้จริง การเข้าใจ Automated Bidding Strategy แต่ละแบบคือสิ่งที่นักการตลาดควรเรียนรู้ เพราะนี่คือหัวใจสำคัญในการใช้ Google Ads อย่างมืออาชีพ
ANGA MASTERY มีเปิดสอนคลาส Google Ads
หากใครสนใจเทคนิคลับฉบับเอเจนซี่ในการทำ Google Ads แบบที่เอเจนซี่ใช้งานจริง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คอร์สเรียน Google Ads ที่สำคัญ สามารถปรึกษากับทีมวางแผนคอร์สเรียนได้แล้วที่ LINE OA – @angamastery