ทำงานอย่างชาญฉลาดได้ แค่รู้จักเทคนิค SMART WORK

By Suppanat Thaiyanant I Google Analytics 4 Specialist

13 AUGUST 24

108

MASTERY-COVER-JUL-03.webp

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นและเวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่า การทำงานอย่างชาญฉลาดหรือ Smart Work กลายเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนควรมี ซึ่งเจ้าตัวเทคนิค SMART WORKนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเครียดและสร้างสมดุลชีวิตที่ดีขึ้น เพราะการทำงานอย่างชาญฉลาดไม่ได้หมายถึงการทำงานหนักขึ้น แต่หมายถึงการทำงานอย่างมีกลยุทธ์และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด บทความนี้ ANGA Mastery จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีการทำงานอย่างชาญฉลาดผ่านเทคนิค SMART WORK พร้อมทั้งวิธีการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงและการทำงาน

เทคนิค SMART WORK คืออะไร?

SMART WORK เป็นแนวคิดในการทำงานที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นที่ผลลัพธ์มากกว่าเวลาที่ใช้ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงาน โดยคำว่า SMART ในที่นี้เป็นตัวย่อที่มีความหมายลึกซึ้ง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกลักษณะงาน ไม่ว่าจะเป็นงานส่วนตัวหรืองานในองค์กร มาดูความหมายของแต่ละตัวอักษรกัน

S - Specific (เฉพาะเจาะจง)

การทำงานแบบ Smart Work เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง การตั้งเป้าหมายแบบกว้างๆ มักไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม แทนที่จะตั้งเป้าหมายกว้างๆ ว่า "ต้องการเพิ่มยอดขาย" ให้ระบุไปเลยว่า "ต้องการเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ A ขึ้น 20% ภายใน 3 เดือน"

  1. การตั้งเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจงนี้มีประโยชน์หลายประการ
  2. ช่วยให้คุณมีทิศทางที่ชัดเจนในการทำงาน
  3. ทำให้ง่ายต่อการวางแผนและกำหนดขั้นตอนการทำงาน
  4. ช่วยให้ทีมงานเข้าใจเป้าหมายตรงกัน ลดความสับสนและความขัดแย้ง
  5. ทำให้ง่ายต่อการวัดผลความสำเร็จ

ตัวอย่างการตั้งเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง

  • แทนที่จะบอกว่า "ต้องการเรียนภาษาอังกฤษ" ให้ระบุว่า "ต้องการสอบ TOEIC ให้ได้คะแนน 800 คะแนนขึ้นไป"
  • แทนที่จะบอกว่า "ต้องการลดน้ำหนัก" ให้ระบุว่า "ต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 2 เดือน"

M - Measurable (วัดผลได้)

เป้าหมายที่ดีต้องสามารถวัดผลได้ การกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณติดตามความก้าวหน้าและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การวัดจำนวนลูกค้าใหม่ หรือการวัดอัตราการเติบโตของรายได้

การมีเป้าหมายที่วัดผลได้มีประโยชน์ดังนี้

  1. ช่วยให้คุณทราบว่าคุณอยู่ห่างจากเป้าหมายเท่าไร
  2. สร้างแรงจูงใจเมื่อเห็นความก้าวหน้า
  3. ช่วยในการปรับแผนการทำงานหากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
  4. ทำให้การรายงานผลต่อผู้บริหารหรือลูกค้าเป็นไปอย่างชัดเจนและน่าเชื่อถือ

ตัวอย่างการกำหนดตัวชี้วัดที่วัดผลได้

  • จำนวนบทความที่เขียนต่อสัปดาห์
  • อัตราการเติบโตของผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย
  • จำนวนชั่วโมงที่ใช้ในการออกกำลังกายต่อสัปดาห์
  • อัตราการตอบกลับอีเมลของลูกค้าภายใน 24 ชั่วโมง

A - Achievable (สามารถทำได้จริง)

เป้าหมายควรท้าทายแต่ไม่เกินความสามารถ การตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้จะสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจในการทำงาน แทนที่จะสร้างความกดดันและความท้อแท้ เป้าหมายที่ท้าทายเกินไปอาจทำให้ทีมงานรู้สึกท้อแท้และยอมแพ้ก่อนที่จะเริ่มลงมือทำ

  1. การตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้จริงมีข้อดีดังนี้
  2. สร้างความมั่นใจและแรงจูงใจให้กับทีมงาน
  3. ช่วยให้การวางแผนและจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล
  4. เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจในการตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นต่อไป
  5. ลดความเสี่ยงในการทำงานที่ผิดจริยธรรมหรือผิดกฎหมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้

วิธีการตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้จริง

  • พิจารณาทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งด้านเวลา งบประมาณ และบุคลากร
  • ศึกษาข้อมูลและสถิติในอดีตเพื่อประเมินความเป็นไปได้
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในด้านนั้นๆ
  • แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยที่จัดการได้ง่ายขึ้น

R - Relevant (สอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่)

เป้าหมายย่อยในการทำงานควรสอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายใหญ่ขององค์กรหรือชีวิตของคุณ การทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหลักเป็นการสูญเสียเวลาและทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ การตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกันช่วยให้ทุกการกระทำของคุณมีความหมายและนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

ประโยชน์ของการตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกัน

  1. ช่วยให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. สร้างความชัดเจนในการตัดสินใจว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร
  3. ช่วยให้ทีมงานเข้าใจบทบาทและความสำคัญของงานที่ทำ
  4. เพิ่มแรงจูงใจในการทำงานเมื่อเห็นว่างานที่ทำมีส่วนช่วยให้บรรลุเป้าหมายใหญ่

วิธีการตรวจสอบความสอดคล้องของเป้าหมาย

  • ถามตัวเองว่า "เป้าหมายนี้จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายขององค์กรอย่างไร?"
  • พิจารณาว่าเป้าหมายนี้สอดคล้องกับค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่
  • ประเมินว่าการบรรลุเป้าหมายนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อเป้าหมายอื่นๆ ขององค์กร
  • ตรวจสอบว่าเป้าหมายนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตหรือไม่

T - Time-bound (มีกำหนดเวลา)

การกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนจะช่วยสร้างแรงกดดันที่เหมาะสมและป้องกันการผัดวันประกันพรุ่ง เช่น "เพิ่มยอดขาย 20% ภายใน 3 เดือน" จะทำให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการวางแผนและปฏิบัติงาน การมีกำหนดเวลาที่ชัดเจนช่วยสร้างความเร่งด่วนและกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำอย่างจริงจัง

ประโยชน์ของการกำหนดกรอบเวลา

  1. ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของงาน
  2. ป้องกันการเลื่อนงานออกไปโดยไม่มีกำหนด
  3. ช่วยในการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ทำให้ง่ายต่อการติดตามและประเมินความก้าวหน้า

วิธีการกำหนดกรอบเวลาที่เหมาะสม

  • พิจารณาความซับซ้อนของงานและทรัพยากรที่มี
  • แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยพร้อมกำหนดเวลาสำหรับแต่ละเป้าหมายย่อย
  • ใช้เทคนิคการวางแผนแบบย้อนกลับ (Backward Planning) โดยเริ่มจากวันที่ต้องการให้งานเสร็จสมบูรณ์แล้ววางแผนย้อนกลับมา
  • พิจารณาปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลต่อกำหนดเวลา เช่น วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือช่วงเวลาที่มีงานสำคัญอื่นๆ
  • เผื่อเวลาสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือการแก้ไขปรับปรุงงาน

วิธีนำเทคนิค SMART WORK ไปใช้ในการทำงาน

 

วิธีนำเทคนิค SMART WORK ไปใช้ในการทำงาน

การนำเทคนิค SMART WORK ไปใช้ในการทำงานจริงนั้นต้องอาศัยการฝึกฝนและความมุ่งมั่น แต่เมื่อทำได้แล้วจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมาก ต่อไปนี้เป็นวิธีการนำเทคนิค SMART WORK ไปใช้ในการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม

วางแผนงานอย่างรอบคอบ

การวางแผนเป็นขั้นตอนสำคัญของ Smart Work เริ่มต้นด้วยการแบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยที่จัดการได้ง่ายขึ้น จากนั้นจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยใช้เทคนิคเช่น Eisenhower Matrix ที่แบ่งงานออกเป็น 4 กลุ่มตามความสำคัญและความเร่งด่วน

วิธีการวางแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. กำหนดเป้าหมายหลักให้ชัดเจนโดยใช้หลัก SMART
  2. แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยหรือขั้นตอนย่อย
  3. จัดลำดับความสำคัญของงานโดยใช้ Eisenhower Matrix:
    1. สำคัญและเร่งด่วน: ทำทันที
    2. สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน: วางแผนและกำหนดเวลาทำ
    3. ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน: มอบหมายให้ผู้อื่นหรือทำหลังงานสำคัญ
    4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน: ตัดออกหรือทำเป็นลำดับสุดท้าย
  4. กำหนดทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับแต่ละขั้นตอน
  5. สร้างไทม์ไลน์หรือปฏิทินการทำงาน
  6. ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและวางแผนรับมือ

การวางแผนที่ดีจะช่วยให้คุณมีภาพรวมของงานทั้งหมด ทำให้สามารถจัดการเวลาและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเครียดและความวิตกกังวลเกี่ยวกับงานที่ต้องทำ

ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์

เทคโนโลยีสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมาก การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยประหยัดเวลา ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความร่วมมือในทีม เช่นการใช้แอปพลิเคชัน Trello, Asana หรือ Monday.com มาช่วยในการบริหารจัดการงาน เป็นต้น ซึ่งการเลือกใช้เทคโนโลยีควรพิจารณาตามความเหมาะสมกับลักษณะงานและวัฒนธรรมองค์กร ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกเครื่องมือ แต่ควรเลือกใช้เฉพาะที่จำเป็นและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจริงๆ

จัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการเวลาเป็นทักษะสำคัญในการทำงานแบบ Smart Work เพราะเวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและไม่สามารถเรียกคืนได้ การใช้เวลาอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้คุณทำงานได้มากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง และเรามีเทคนิคการจัดการเวลาที่มีประสิทธิภาพ มาฝากกัน

  1. ใช้เทคนิค Pomodoro
    1. แบ่งเวลาทำงานเป็นช่วงละ 25 นาที (เรียกว่า 1 Pomodoro)
    2. หลังจากครบ 25 นาที ให้พัก 5 นาที
    3. ทำซ้ำ 4 รอบ แล้วพักยาว 15-30 นาที
    4. เทคนิคนี้ช่วยรักษาสมาธิและป้องกันความเหนื่อยล้า
  2. สร้างช่วง "Deep Work"
    1. กำหนดช่วงเวลาที่คุณสามารถโฟกัสกับงานสำคัญโดยไม่มีการรบกวน
    2. ปิดการแจ้งเตือนจากอีเมลและโซเชียลมีเดียในช่วงนี้
    3. แจ้งให้เพื่อนร่วมงานทราบว่าคุณไม่ต้องการให้รบกวนในช่วงเวลานี้
    4. ใช้เวลานี้สำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิสูง เช่น การวิเคราะห์ การเขียน หรือการวางแผนกลยุทธ์
  3. ใช้หลักการ 2-Minute Rule
    1. หากมีงานที่ใช้เวลาน้อยกว่า 2 นาที ให้ทำทันทีแทนที่จะผัดไว้ทำภายหลัง
    2. ช่วยลดภาระงานเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจสะสมจนกลายเป็นภาระใหญ่
  4. จัดการกับ "ตัวขโมยเวลา"
    1. ระบุสิ่งที่ทำให้คุณเสียเวลาโดยไม่จำเป็น เช่น การเช็คโซเชียลมีเดียบ่อยเกินไป
    2. ใช้แอปพลิเคชันบล็อกเว็บไซต์ที่ทำให้เสียสมาธิในช่วงเวลาทำงาน
    3. ตั้งเวลาจำกัดสำหรับกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับงาน
  5. ใช้เทคนิค Time Blocking
    1. แบ่งตารางเวลาในแต่ละวันออกเป็นบล็อกๆ
    2. กำหนดงานหรือกิจกรรมสำหรับแต่ละบล็อกเวลา
    3. ช่วยให้คุณมีโครงสร้างในการทำงานและป้องกันการใช้เวลาอย่างไร้ทิศทาง
  6. ทำงานตามจังหวะ Ultradian Rhythm
    1. ร่างกายมนุษย์มีจังหวะการทำงานเป็นรอบๆ ละประมาณ 90-120 นาที
    2. ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูงในช่วง 90 นาทีแรก แล้วพัก 20-30 นาที
    3. ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยสอดคล้องกับจังหวะธรรมชาติของร่างกาย

เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ

การทำงานอย่างชาญฉลาดหมายถึงการรู้จักเลือกงานที่สำคัญและสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ อย่ากลัวที่จะปฏิเสธงานที่ไม่จำเป็นหรือไม่ตรงกับเป้าหมายของคุณ การปฏิเสธอย่างสุภาพและมืออาชีพจะช่วยให้คุณมีเวลาและพลังงานสำหรับงานที่สำคัญจริงๆ

วิธีการปฏิเสธอย่างมืออาชีพ

  1. ตอบกลับทันที: อย่าปล่อยให้คำขอค้างไว้นาน ยิ่งรอนานยิ่งยากที่จะปฏิเสธ
  2. แสดงความขอบคุณ: เริ่มต้นด้วยการขอบคุณสำหรับโอกาสหรือความไว้วางใจ
  3. ให้เหตุผลสั้นๆ: อธิบายเหตุผลที่คุณไม่สามารถรับงานได้อย่างกระชับ
  4. เสนอทางเลือกอื่น: หากเป็นไปได้ แนะนำคนอื่นหรือวิธีการอื่นที่อาจช่วยได้
  5. จบด้วยความสุภาพ: แสดงความหวังว่าจะได้ร่วมงานกันในโอกาสหน้า

ตัวอย่างการปฏิเสธ: "ขอบคุณมากที่นึกถึงผมสำหรับโปรเจ็กต์นี้ น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมมีงานเต็มมือและไม่สามารถรับงานเพิ่มได้โดยไม่กระทบกับคุณภาพงาน อย่างไรก็ตาม ผมขอแนะนำคุณสมชายที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ หวังว่าเราจะได้มีโอกาสร่วมงานกันในอนาคตนะครับ"

ประโยชน์ของการทำงานแบบ SMART WORK

การนำเทคนิค SMART WORK มาใช้ในการทำงานมีประโยชน์มากมาย ทั้งต่อตัวบุคคลและองค์กร ดังนี้

  1. ช่วยให้คุณโฟกัสกับงานที่สำคัญและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ส่งผลให้ ผลงานมีคุณภาพสูงขึ้นในเวลาที่น้อยลง ลดความผิดพลาดและการทำงานซ้ำ เพิ่มผลิตภาพโดยรวมขององค์กร และสามารถจัดการกับงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น
  2. การมีเป้าหมายที่ชัดเจนและการจัดการเวลาที่ดี จะช่วยลดความเครียดและความกดดันในการทำงาน ทำให้รู้สึกควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้น ป้องกันภาวะ Burnout
  3. เมื่อคุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณจะมีเวลาเหลือสำหรับชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และงานอดิเรก มีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีขึ้น ลดความขัดแย้งระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
  4. เปิดโอกาสในการเติบโตและพัฒนาตนเอง เพราะมีเวลาและพลังงานในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และนำมาใช้พัฒนาตนเอง ทำให้มีโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งหรือรับผิดชอบงานที่ท้าทายมากขึ้น

ตัวอย่างการนำ SMART WORK ไปใช้ในชีวิตจริง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองมาดูตัวอย่างการนำเทคนิค SMART WORK ไปใช้ในสถานการณ์จริงกัน สมมติว่าคุณเป็นผู้จัดการฝ่ายขายและต้องการเพิ่มยอดขาย คุณสามารถใช้หลัก SMART ดังนี้

  • Specific: เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ A ในกลุ่มลูกค้าองค์กร
  • Measurable: เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว
  • Achievable: วิเคราะห์ตลาดและกำลังการผลิตแล้วว่าเป็นไปได้
  • Relevant: สอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโตของบริษัทในปีนี้
  • Time-bound: ภายใน 3 เดือน

การนำไปปฏิบัติจริง

  1. วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อระบุกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงสุด
  2. พัฒนาแคมเปญการตลาดที่เจาะจงสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร
  3. ฝึกอบรมทีมขายเกี่ยวกับเทคนิคการขายใหม่ๆ
  4. ใช้ CRM Software เพื่อติดตามและวิเคราะห์ผลการขาย
  5. จัดประชุมทีมสัปดาห์ละครั้งเพื่อติดตามความคืบหน้าและปรับกลยุทธ์

สรุปการทำงานอย่างชาญฉลาดด้วย SMART WORK

การทำงานอย่างชาญฉลาดด้วยเทคนิค SMART WORK ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนอย่างรอบคอบ และลงมือทำอย่างมีระบบ เพราะการสร้างสมดุลในชีวิตจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว จำไว้ว่า SMART WORK ไม่ใช่การทำงานหนักขึ้น แต่เป็นการทำงานอย่างชาญฉลาดมากขึ้น เมื่อคุณฝึกฝนและนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้อย่างสม่ำเสมอ คุณจะพบว่าตัวเองสามารถจัดการกับงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น มีเวลาและพลังงานเหลือสำหรับการพัฒนาตนเองและสิ่งที่คุณรักได้ดีมากขึ้น

 

Related News

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ