12 FEBRUARY 25
931
การทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันเน้นการวัดผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคุ้มค่ากับการลงทุน โดยเฉพาะการยิงโฆษณาเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่และรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญคือ Cost Per Lead (CPL) หรือต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้าเป้าหมาย นักการตลาดจำเป็นต้องเข้าใจและติดตาม CPL KPI อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่างบประมาณที่ใช้ไปนั้นคุ้มค่าและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับธุรกิจมากน้อยแค่ไหน ANGA Mastery จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Cost Per Lead คืออะไร รู้จักสูตรคำนวณ CPL และเรียนรู้สาเหตุและวิธีแก้ไขเมื่อ CPL สูงขึ้น
Cost Per Lead (CPL) คือค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ธุรกิจต้องจ่าย เพื่อให้ได้ข้อมูลติดต่อของลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าหรือบริการมา โดย Lead ในที่นี้หมายถึงผู้ที่แสดงความสนใจในธุรกิจของคุณผ่านการกระทำต่าง ๆ เช่น การกรอกแบบฟอร์ม สมัครรับอีเมล การดาวน์โหลดเอกสาร หรือการลงทะเบียนทดลองใช้สินค้า ซึ่ง Cost Per Lead จะช่วยวัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด ทำให้คุณสามารถระบุช่องทางการตลาดที่คุ้มค่าที่สุดได้ ช่วยในด้านของการควบคุมและจัดสรรงบประมาณ และช่วยด้านการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
การคำนวณ Cost Per Lead เป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อน แต่ต้องเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนและแม่นยำ โดยเฉพาะการรวบรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริงในแคมเปญนั้น ๆ เช่น งบโฆษณา ค่าจ้างผลิตสื่อ ค่าใช้จ่ายในการจ้างเอเจนซี่ หรือค่าเครื่องมือต่าง ๆ จากนั้นนำมาหารด้วยจำนวน Lead ที่ได้รับในช่วงเวลาเดียวกัน ตามสูตร CPL = ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ÷ จำนวน Lead ที่ได้รับ
องค์ประกอบที่ใช้ในการคำนวณ CPL คือ
การคำนวณ Cost Per Lead สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับหลากหลายธุรกิจและแคมเปญ ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจขายคอร์สเรียนการตลาดออนไลน์ ได้ทำแคมเปญโฆษณาบน Facebook โดยมีค่าใช้จ่ายโฆษณา 15,000 บาท ค่าผลิตคอนเทนต์ 5,000 บาท และได้ผู้สนใจลงทะเบียนเรียนฟรีจำนวน 100 คน เมื่อคำนวณ CPL จะเท่ากับ (15,000 + 5,000) ÷ 100 = 200 บาทต่อ Lead หนึ่งราย หรือกรณีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้งบโฆษณา 50,000 บาท ได้ผู้สนใจจองเข้าชมโครงการ 200 ราย CPL จะอยู่ที่ 250 บาทต่อราย เป็นต้น
Cost Per Lead คือหนึ่งใน KPI (Key Performance Indicator) ที่สำคัญในการวัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดดิจิทัล เพราะช่วยให้นักการตลาดเข้าใจว่าต้นทุนในการได้มาซึ่งลูกค้าเป้าหมายแต่ละรายนั้นคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับหรือไม่ การตั้งเป้าหมาย CPL KPI ที่เหมาะสมควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น มูลค่าเฉลี่ยต่อการซื้อของลูกค้า (Average Order Value) อัตราการเปลี่ยนจาก Lead เป็นลูกค้า (Lead-to-Customer Rate) และมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้า (Customer Lifetime Value) ซึ่งธุรกิจควรเริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง ศึกษาเกณฑ์มาตรฐานในอุตสาหกรรม และพิจารณาปัจจัยภายในองค์กร เช่น งบประมาณการตลาดและเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจ เพื่อตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่สามารถบรรลุได้จริง
ปัญหาเรื่อง Cost Per Lead ที่สูงจนเกินไปเป็นสัญญาณเตือนว่าแคมเปญของคุณอาจกำลังมีปัญหาบางอย่างก็เป็นได้ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มักมาจากการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน การออกแบบโฆษณาที่ไม่น่าดึงดูดใจ หรือการนำ Landing Page ที่ไม่มีประสิทธิภาพไปใช้ยิงโฆษณา ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องวิเคราะห์และปรับปรุงในทุกขั้นตอนของแคมเปญ มาเจาะลึกสาเหตุและวิธีแก้ไข เพื่อให้ Cost Per Lead ถูกลงกันดีกว่า
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่กว้างเกินไปเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ CPL สูง เพราะโฆษณาของคุณอาจเข้าถึงคนที่ไม่มีความสนใจในสินค้าหรือบริการจริง ๆ วิธีแก้ไขคือต้องวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าปัจจุบันอย่างละเอียดเพื่อสร้างโปรไฟล์กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน จากนั้นเริ่มทดสอบการโฆษณากับกลุ่มเป้าหมายย่อย ๆ ก่อน แล้วค่อยขยายวงกว้างเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดี นอกจากนี้ควรนำข้อมูลจากแคมเปญก่อนหน้ามาวิเคราะห์และปรับแต่งกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำยิ่งขึ้นต่อไปด้วย
โฆษณาที่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจหรือสื่อสาร Key Message ได้อย่างชัดเจน เป็นผลทำให้ CPL สูงขึ้นได้ เพราะต้องใช้งบประมาณมากขึ้นเพื่อให้ได้ Lead ในจำนวนที่ต้องการ การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการปรับปรุงคอนเทนต์ให้มีความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง พร้อมทั้งสื่อสาร Key Message หรือประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับให้ชัดเจนขึ้น และควรทำ A/B Testing อย่างต่อเนื่องเพื่อค้นหารูปแบบโฆษณาที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
Landing Page ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ออกแบบไม่สวยงาม เนื้อหาไม่ครบ ไม่มี CTA หรือเกิดข้อผิดพลาด เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ CPL สูงขึ้นได้ เพราะเมื่อมีคนคลิกเข้ามาที่โฆษณาแล้ว แลนดิ้งเพจดันไม่สามารถดึงดูดความสนใจและเชิญชวนให้พวกเขากรอกข้อมูลได้ จึงทำให้ CPL แพงขึ้นกว่าเดิม วิธีแก้ไขคือต้องออกแบบ Landing Page ให้โหลดเร็วและใช้งานง่ายบนทุกอุปกรณ์ โดยเฉพาะมือถือ ลดความซับซ้อนของฟอร์มโดยขอเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นจริง ๆ และเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยการแสดงรีวิวหรือการรับรองจากลูกค้าที่เคยใช้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้เข้าชมกล้าที่จะแชร์ข้อมูลกับคุณ
Cost Per Lead (CPL) และ Cost Per Action (CPA) เป็นตัวชี้วัดที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของเป้าหมายและการนำไปใช้ โดย CPL จะมุ่งเน้นการวัดต้นทุนในการได้มาซึ่งข้อมูลติดต่อของลูกค้าที่สนใจ ในขณะที่ CPA จะวัดต้นทุนของการกระทำที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น การสั่งซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
Cost Per Lead คือตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจประสิทธิภาพของการลงทุนในแคมเปญต่าง ๆ การติดตาม CPL KPI อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดและจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย การออกแบบโฆษณา หรือการพัฒนา Landing Page ก็ตาม ทั้งนี้ค่า CPL ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามประเภทธุรกิจและกลุ่มเป้าหมาย สิ่งสำคัญคือต้องวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากลูกค้าในระยะยาว
พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์
13 MARCH
ทำความเข้าใจ Media Plan คืออะไร กลยุทธ์วางแผนสื่อที่ช่วยให้ธุรกิจสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงกลุ่มและมีประสิทธิภาพสูง จนธุรกิจเติบโต
13 MARCH
13 MARCH
13 MARCH
13 MARCH
13 MARCH
ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ