SEO คืออะไร? รวมครบจบ อัปเดตล่าสุด 2025

By Rachavit Whangpatanathon I MD at ANGA Group

04 OCTOBER 24

203

ANGA Mastery  Blog Template (Benz).png

SEO คืออะไร? รวมครบจบ อัปเดตล่าสุด 2025

ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การทำ SEO ก็ต้องปรับตัวตาม จากสถิติล่าสุดพบว่า 68% ของการซื้อของออนไลน์เริ่มต้นจากการค้นหา แต่เพียง 0.78% ของผู้ค้นหาที่คลิกผลลัพธ์ในหน้าที่ 2 ของ Google นี่คือเหตุผลว่าทำไมการทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google จึงสำคัญมากสำหรับธุรกิจออนไลน์ทุกขนาด บทความนี้ ANGA Mastery จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของ SEO ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคล่าสุดสำหรับปี 2025 เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นในโลกของ AI และเอาชนะคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

SEO คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐาน Search Engine Optimization

เริ่มต้นทำความรู้จักกับ SEO ตั้งแต่ความหมายพื้นฐานไปจนถึงความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์

SEO ย่อมาจากอะไร และมีความหมายว่าอย่างไร

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หรือการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 90% ในปัจจุบัน การทำ SEO คือกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ทั้งในแง่ของเนื้อหา โครงสร้าง และปัจจัยภายนอกต่างๆ เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในตำแหน่งที่ดีที่สุดบนหน้าผลการค้นหา (SERPs) สำหรับคำค้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

ความสำคัญของ SEO ต่อธุรกิจออนไลน์

SEO มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจออนไลน์ในหลายด้าน

  1. เพิ่มการมองเห็น (Visibility): ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในตำแหน่งที่ดีบน SERPs ทำให้ผู้ใช้พบเห็นธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น
  2. สร้างความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆ มักได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้มากกว่า
  3. ประหยัดค่าใช้จ่าย: เมื่อเทียบกับการโฆษณาแบบจ่ายเงิน SEO ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่คุ้มค่ากว่า
  4. เพิ่ม Traffic คุณภาพ: ดึงดูดผู้ใช้ที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการของคุณโดยตรง
  5. เพิ่มโอกาสในการแปลงเป็นลูกค้า: ผู้ใช้ที่มาจากการค้นหาออร์แกนิคมักมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้าสูงกว่า

SEO vs. SEM แตกต่างกันอย่างไร

SEO และ SEM เป็นสองแนวทางหลักในการทำการตลาดบนเครื่องมือค้นหา แต่มีความแตกต่างที่สำคัญ ดังนี้

SEO (Search Engine Optimization)

  • เน้นการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับในผลการค้นหาแบบออร์แกนิค
  • ใช้เวลานานกว่าในการเห็นผล แต่ให้ผลระยะยาว
  • ไม่มีค่าใช้จ่ายโดยตรงในการซื้อโฆษณา แต่อาจมีค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือเครื่องมือ

SEM (Search Engine Marketing)

  • รวมถึง SEO และ PPC (Pay-Per-Click) โฆษณา
  • ให้ผลเร็วกว่าเนื่องจากสามารถซื้อตำแหน่งโฆษณาได้ทันที
  • มีค่าใช้จ่ายโดยตรงในการซื้อโฆษณา เช่น Google Ads

ทั้ง SEO และ SEM มีข้อดีและข้อเสียต่างกัน การผสมผสานทั้งสองวิธีอย่างสมดุลจะช่วยให้ธุรกิจได้รับประโยชน์สูงสุดจากการตลาดบนเครื่องมือค้นหา

องค์ประกอบหลักของการทำ SEO

การทำ SEO ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักที่ต้องให้ความสำคัญเท่าๆ กัน

On-Page SEO: การปรับแต่งภายในเว็บไซต์

On-Page SEO เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ภายในเว็บไซต์ เพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ประกอบด้วย

  1. การปรับแต่ง Title Tags และ Meta Descriptions
  2. การใช้ Header Tags (H1, H2, H3, etc.) อย่างเหมาะสม
  3. การเพิ่ม Alt Text ให้กับรูปภาพ
  4. การปรับแต่ง URL ให้เป็นมิตรกับ SEO
  5. การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด
  6. การใช้ Internal Linking อย่างมีประสิทธิภาพ

Off-Page SEO: การสร้างความน่าเชื่อถือจากภายนอก

Off-Page SEO เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์จากปัจจัยภายนอก ประกอบด้วย

  1. การสร้าง Backlinks คุณภาพจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
  2. การทำ Social Media Marketing เพื่อเพิ่มการรับรู้และการมีส่วนร่วม
  3. การสร้าง Brand Mentions บนแพลตฟอร์มต่างๆ
  4. การทำ Guest Posting บนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและมีอิทธิพล
  5. การสร้างและจัดการ Online Reputation

Technical SEO: การปรับแต่งทางเทคนิคเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

Technical SEO เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งเว็บไซต์ในเชิงเทคนิคเพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึง จัดทำดัชนี และแสดงผลเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย

  1. การปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
  2. การทำให้เว็บไซต์เป็น Mobile-Friendly
  3. การใช้ SSL Certificate (HTTPS)
  4. การสร้างและปรับปรุง XML Sitemap
  5. การตั้งค่า Robots.txt อย่างถูกต้อง
  6. การแก้ไขปัญหา Crawl Errors
  7. การปรับปรุง Core Web Vitals

แนวโน้ม SEO ที่ควรจับตามองในปี 2025 และอนาคต

โลกของ SEO มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง การก้าวให้ทันกับแนวโน้มล่าสุดจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการทำ SEO Strategy ในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ นักการตลาด หรือผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO การเข้าใจและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นจะช่วยให้คุณได้เปรียบคู่แข่งและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มาดูกันว่าแนวโน้ม SEO ที่น่าจับตามองในปี 2025 และอนาคตมีอะไรบ้าง

การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของ Google Algorithm

Google มีการอัปเดต Algorithm อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงคุณภาพของผลการค้นหา ในปี 2025 เราคาดว่าจะเห็นแนวโน้มต่อไปนี้

  1. การให้ความสำคัญกับ User Experience (UX) มากขึ้น: Google จะพิจารณาปัจจัยด้าน UX อย่างจริงจัง รวมถึง Core Web Vitals และการออกแบบที่เป็นมิตรกับผู้ใช้
  2. การเน้นที่ความตั้งใจในการค้นหา (Search Intent): Algorithm จะฉลาดขึ้นในการเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้ ดังนั้นการสร้างเนื้อหาที่ตรงกับ Search Intent จะสำคัญมากขึ้น
  3. การให้ความสำคัญกับ E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) มากขึ้น: เว็บไซต์ที่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ อำนาจ และความน่าเชื่อถือจะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น
  4. การปรับตัวเข้ากับการค้นหาด้วยเสียง: ด้วยการเติบโตของอุปกรณ์สมาร์ทโฮม การปรับแต่ง SEO เพื่อรองรับการค้นหาด้วยเสียงจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น
  5. การให้ความสำคัญกับ Local SEO มากขึ้น: Google จะเน้นการแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของผู้ใช้มากขึ้น

การเข้ามาของ AI และเตรียมพร้อม AI Overview

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงวงการ SEO อย่างรวดเร็ว ในปี 2025 เราคาดว่าจะเห็นผลกระทบต่อไปนี้

  1. AI-powered Search: Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ จะใช้ AI ในการวิเคราะห์และเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้น ทำให้การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตรงประเด็นยิ่งสำคัญมากขึ้น
  2. AI-generated Content: เครื่องมือสร้างเนื้อหาด้วย AI จะกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ Google จะยังคงให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่สร้างโดยมนุษย์ที่มีความเชี่ยวชาญจริง
  3. Personalized Search Results: AI จะช่วยให้ผลการค้นหามีความเฉพาะเจาะจงกับผู้ใช้แต่ละคนมากขึ้น ทำให้การทำ SEO ต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด
  4. AI-powered Analytics: เครื่องมือวิเคราะห์ SEO จะใช้ AI ในการให้ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำที่แม่นยำมากขึ้น

ASEO วิธีทำ SEO แนวใหม่ให้ติดหน้าแรก Google ในปี 2025

ในยุคที่ AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ การทำ ASEO (Adaptive Search Engine Optimization) จะเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะทั้งคู่แข่งและ AI บนหน้าผลการค้นหา

ASEO คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ

ASEO หรือ Adaptive Search Engine Optimization เป็นแนวคิดใหม่ในการทำ SEO ที่มุ่งเน้นการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้ใช้อย่างรวดเร็ว

องค์ประกอบสำคัญของ ASEO

  1. Discovery: การทำให้ค้นพบเว็บไซต์ง่ายขึ้น
    • ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้ Googlebot และ AI สามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ง่าย
    • ใช้ Schema Markup เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่เครื่องมือค้นหา
    • สร้างเนื้อหาที่ตอบสนองต่อ Search Intent อย่างตรงจุด
  2. Engagement: สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ใช้
    • ออกแบบ UX/UI ที่ดึงดูดและรักษาความสนใจของผู้ใช้
    • สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและกระตุ้นให้เกิดการแชร์หรือพูดถึง
    • ใช้เทคนิค Personalization เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคน
  3. Results: มุ่งสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง
    • พัฒนาความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณอย่างต่อเนื่อง
    • สร้างเนื้อหาที่แสดงถึงความเป็นผู้นำทางความคิด
    • สร้างและรักษาความน่าเชื่อถือผ่านการรีวิว การรับรอง และ Case Studies

7 เทคนิค SEO (SEO Hacks) สำหรับปี 2025

เจาะลึก 7 เทคนิคสำคัญที่จะช่วยยกระดับ SEO ของคุณในปี 2025 พร้อมวิธีการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเอาชนะคู่แข่งและ AI

1.Technical Issues: แก้ปัญหาทางเทคนิคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

  • ปรับปรุง Core Web Vitals ให้ผ่านเกณฑ์ของ Google
  • แก้ไขปัญหา Crawl Errors และ 404 Errors
  • ใช้ HTTPS และ SSL Certificate เพื่อความปลอดภัย
  • ออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับ Mobile-First Indexing

2.SXO (Search Experience Optimization): ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้

  • ออกแบบ UX/UI ที่ใช้งานง่ายและน่าดึงดูด
  • ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
  • สร้าง Customer Journey ที่ราบรื่นและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้
  • ใช้ AI เพื่อปรับแต่งประสบการณ์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคน

3.External Signal สร้างสัญญาณความน่าเชื่อถือจากภายนอก

  • สร้าง Brand Mentions บนแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ
  • ส่งเสริมการรีวิวและคำรับรองจากลูกค้า
  • มีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมของคุณ
  • สร้างความสัมพันธ์กับ Influencers และผู้นำทางความคิดในวงการ

4.Link Building: สร้าง Backlink คุณภาพ

  • เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณในการสร้าง Backlinks
  • ใช้เทคนิค Digital PR เพื่อสร้าง Backlinks จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าแชร์เพื่อดึงดูด Natural Backlinks
  • ใช้ Broken Link Building เพื่อหาโอกาสในการสร้าง Backlinks

5.SILO-based Structure: จัดโครงสร้างเนื้อหาอย่างเป็นระบบ

  • จัดกลุ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน
  • สร้าง Internal Linking ที่แข็งแกร่งระหว่างเนื้อหาในกลุ่มเดียวกัน
  • ใช้ Breadcrumb Navigation เพื่อแสดงลำดับชั้นของเนื้อหา
  • สร้าง Topic Clusters เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นๆ

6.High-quality Content: สร้างเนื้อหาคุณภาพตามหลัก E-E-A-T

  • เน้นการสร้างเนื้อหาที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จริง
  • ใช้ข้อมูลและสถิติที่น่าเชื่อถือเพื่อสนับสนุนเนื้อหา
  • อัปเดตเนื้อหาเก่าให้ทันสมัยอยู่เสมอ
  • สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ Search Intent อย่างครอบคลุม

7.Keyword Research & Intent: วิจัยคีย์เวิร์ดและเข้าใจความต้องการผู้ใช้

  • ใช้เครื่องมือ AI ในการวิเคราะห์ Keyword Trends
  • เข้าใจ Search Intent เบื้องหลังคีย์เวิร์ดแต่ละตัว
  • ใช้ Long-tail Keywords เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะ
  • วิเคราะห์ Semantic Keywords และใช้ในการสร้างเนื้อหา

การวัดผลและวิเคราะห์ SEO (Search Engine Optimization)

การวัดผลและวิเคราะห์ SEO เป็นกุญแจสำคัญในการปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อตัดสินใจ

KPI สำคัญในการวัดความสำเร็จของ SEO

  1. Organic Traffic: จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาแบบออร์แกนิค
  2. Keyword Rankings: อันดับของคีย์เวิร์ดเป้าหมายบน SERPs
  3. Conversion Rate: อัตราการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้าหรือเป้าหมายที่ต้องการ
  4. Bounce Rate: อัตราการออกจากเว็บไซต์หลังจากดูเพียงหน้าเดียว
  5. Page Load Time: เวลาในการโหลดหน้าเว็บ
  6. Backlink Profile: คุณภาพและปริมาณของ Backlinks
  7. Organic CTR (Click-Through Rate): อัตราการคลิกจากผลการค้นหา

การติดตามและปรับปรุงกลยุทธ์ SEO อย่างต่อเนื่อง

  1. ทำ SEO Audit อย่างสม่ำเสมอ (อย่างน้อยทุก 3-6 เดือน)
  2. ติดตาม Algorithm Updates ของ Google และปรับกลยุทธ์ตาม
  3. วิเคราะห์ Competitor Performance และหาโอกาสในการปรับปรุง
  4. ทดสอบ A/B เพื่อหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด
  5. ใช้ AI และ Machine Learning ในการคาดการณ์แนวโน้ม SEO
  6. ปรับปรุงเนื้อหาเก่าให้ทันสมัยและตรงกับ Search Intent ปัจจุบัน
  7. สร้าง Dashboard สำหรับติดตาม KPI หลักแบบ Real-time

เครื่องมือวิเคราะห์ SEO ที่ควรใช้

การใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณวิเคราะห์และปรับปรุง SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือเครื่องมือที่แนะนำสำหรับปี 2025

1. Google Search Console และ Google Analytics 4

  • ฟรีและให้ข้อมูลโดยตรงจาก Google
  • ติดตาม Organic Traffic, Keyword Rankings, และ Technical Issues
  • วิเคราะห์ User Behavior และ Conversion

2. SEMrush หรือ Ahrefs

  • วิเคราะห์ Keyword และ Backlink อย่างละเอียด
  • ติดตามอันดับคีย์เวิร์ดและเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
  • ทำ Site Audit และหา Technical Issues

3. Screaming Frog

  • Crawl เว็บไซต์เพื่อหา Technical SEO Issues
  • วิเคราะห์โครงสร้างเว็บไซต์และ Internal Linking
  • ตรวจสอบ Title Tags, Meta Descriptions, และ Header Tags

สรุปบทความ

จากที่เราได้เรียนรู้ในบทความนี้ SEO ในปี 2025 จะไม่ใช่แค่การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อติดอันดับบน Google เท่านั้น แต่จะเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ทั้งบนเครื่องมือค้นหาและ AI Platforms

ASEO (Adaptive Search Engine Optimization) เป็นแนวคิดใหม่ที่จะช่วยให้เราปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง โดยเน้นที่ การทำให้เว็บไซต์ค้นพบได้ง่าย (Discovery), การสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ใช้ (Engagement) และ การมุ่งสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง (Results)

ซึ่งนอกจากนี้ 7 เทคนิคสอน SEO ที่เราได้กล่าวถึง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับ SEO กับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค การปรับปรุง UX/UI การสร้าง Backlink คุณภาพ หรือการสร้างเนื้อหาตามหลัก E-E-A-T

ท้ายที่สุด การทำ SEO เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด ต้องอาศัยการเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ ด้วยความรู้และเทคนิคที่คุณได้เรียนรู้จากบทความนี้ คุณจะสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับโลก SEO ในปี 2025 และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์ได้อย่างแน่นอน จงจำไว้ว่า SEO ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิค แต่เป็นศิลปะของการเข้าใจและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง

Related News

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ