UTM คืออะไร ความสำคัญ การวัดผล และวิธีการสร้าง UTM Tracking

Featured Image

นักการตลาดต่างทราบกันดีว่าการวัดผลลัพธ์หลังจากทำแคมเปญการตลาดออนไลน์ไปคือเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามไป โดยเฉพาะเมื่อคุณมีการทำการตลาดบนหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการทำ SEO, Google Ads, Facebook Ads หรือ Email Marketing ก็ตาม เพราะการติดตามผลจะช่วยให้คุณทราบว่ากลยุทธ์การตลาดและช่องทางการตลาดใด สามารถสร้างยอดขายและผลลัพธ์ให้กับธุรกิจคุณมากที่สุด ANGA Mastery ขอชวนคุณมาทำความรู้จักกับ UTM Tracking หรือ UTM คือเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณทราบที่มาที่ไปของ Website Traffic อย่างละเอียด เพื่อใช้ในการตัดสินใจด้านงบประมาณการตลาดในอนาคต พร้อมสอนวิธีสร้างและวิธีดูผลลัพธ์ของ UTM Tracking ผ่านบทความนี้

UTM คืออะไร

UTM (Urchin Tracking Modules) คือชุดตัวแปรพิเศษที่เพิ่มเข้าไปในลิงก์เว็บไซต์ เพื่อติดตามที่มาของผู้เข้าชมเว็บไซต์อย่างละเอียด บางคนอาจเรียก UTM parameters, UTM Tags หรือ UTM Code ได้ ถึงแม้ว่าการใส่ UTM Tracking จะทำให้ URL มีความยาวเพิ่มขึ้น แต่ก็คุ้มค่าที่จะทำ เพราะมันช่วยให้คุณทราบว่าทราฟฟิกที่เข้ามาจำนวนมากนั้น มาจากช่องทางไหนและแคมเปญการตลาดใด

หากคุณทำแคมเปญลดราคาสินค้าและโปรโมตสินค้าผ่านหลาย ๆ  ช่องทาง การใช้ UTM จะช่วยให้คุณเห็นได้ชัดเจนว่าลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าส่วนใหญ่มาจากช่องทางใด ใช้งบประมาณเท่าไหร่ในแต่ละช่องทาง และให้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) เท่าไร ข้อมูลเหล่านี้มีค่ามากสำหรับการวางแผนแคมเปญในอนาคต

การรู้แหล่งที่มาของผู้ใช้ที่เข้ามาบนเว็บไซต์ผ่าน UTM Tracking จะทำให้คุณเห็นภาพที่ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณทำแคมเปญลดราคาสินค้าและโปรโมตสินค้าผ่านหลาย ๆ  ช่องทาง เนื่องจากคุณจะรู้ว่าลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าส่วนใหญ่มาจากช่องทางใด ใช้งบประมาณเท่าไหร่ในแต่ละช่องทาง และให้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) เท่าไร ข้อมูลเหล่านี้มีค่ามากสำหรับการวางแผนแคมเปญในอนาคต เช่น สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ใช้คนหนึ่งมาจากโพสต์ Facebook ตัวไหน หรือมาจากแบนเนอร์โฆษณาชิ้นใดในแคมเปญ ซึ่ง UTM มีความละเอียดมากกว่า Google Analytics เนื่องจาก Google Analytics จะแสดงเพียงช่องทางพื้นฐานที่ผู้ใช้เข้ามาบนเว็บไซต์ เช่น Organic, Paid, Social Media หรือ Direct เป็นต้น

  • ตัวอย่าง URL ปกติ คือ www.example.com/promotion
  • ตัวอย่าง URL ที่ทำ UTM คือ
    www.example.com/promotion?utm_source=facebook&utm_medium=post&utm_campaign=flash_sale

รู้จัก 3 องค์ประกอบของ UTM

องค์ประกอบของ UTM ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ดังนี้

  1. utm_source ส่วนที่ระบุแหล่งที่มาของทราฟฟิก เช่น Facebook, Google, Instagram ฯลฯ 
  2. utm_medium ส่วนบ่งบอกวิธีที่ผู้ใช้คลิกเข้ามา เช่น CPC, Email หรือ Banner
  3. utm_campaign ส่วนที่ระบุชื่อแคมเปญการตลาด เช่น flash_sale หรือ new_product_launch

นอกจากนี้ยังมีพารามิเตอร์เสริมอีก 2 ตัวที่สามารถเพิ่มเติมได้ตามความต้องการด้วย

  • utm_term ใช้สำหรับระบุคีย์เวิร์ดในแคมเปญโฆษณา มักใช้กับการทำโฆษณา Google Ads
  • utm_content ใช้สำหรับแยกแยะเนื้อหาที่แตกต่างกันในแคมเปญเดียวกัน เช่น ใช้แบนเนอร์หลายแบบในแคมเปญเดียว

ประโยชน์ของการทำ UTM Tracking คืออะไร

การใช้ UTM Tracking จะช่วยให้นักการตลาดสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลที่แม่นยำในการตัดสินใจ แทนที่จะใช้การคาดเดาหรือความรู้สึก นอกจากนี้ยังช่วยในการจัดทำ Report ที่มีความละเอียดและน่าเชื่อถือ สามารถนำไปใช้ในการนำเสนอผลงานต่อผู้บริหารหรือลูกค้าได้อย่างมั่นใจอีกด้วย

  • ติดตามแหล่งที่มาได้แม่นยำ เห็นชัดเจนว่าผู้ใช้มาจากช่องทางใด โดยเฉพาะการแยกแยะระหว่างทราฟฟิกจากอีเมล โซเชียลมีเดีย หรือแบนเนอร์โฆษณา ซึ่งบางครั้ง Google Analytics อาจแสดงผลคลาดเคลื่อนได้
  • วัดประสิทธิภาพสื่อโฆษณา ดูได้ว่าสื่อแต่ละชิ้นในแคมเปญเดียวกันให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร เช่น แบนเนอร์แบบไหนได้คลิกมากกว่ากัน หรือบทความรีวิวชิ้นใดที่ดึงดูดผู้ชมได้ดีที่สุด
  • วิเคราะห์ ROI แคมเปญ ประเมินผลตอบแทนการลงทุนในแต่ละแคมเปญได้ชัดเจน ช่วยในการตัดสินใจว่าควรเพิ่มหรือลดงบประมาณในช่องทางใด
  • เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้ สามารถดูได้ว่าผู้เข้าชมจากแต่ละช่องทางมีพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์อย่างไร เช่น อัตราการตีกลับ(Bounce Rate) หรือเส้นทางการเข้าชมเนื้อหา ช่วยให้ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ได้ตรงจุด

สอนวิธีทำ UTM Tracking 

เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่าหลักการของ UTM Tracking คืออะไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง การทำ UTM Tracking ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที สามารถใช้เครื่องมือ Campaign URL Builder จาก Google สร้าง UTM Link ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์โค้ดด้วยตัวเอง

  1. เข้าไปที่เว็บไซต์ Campaign URL Builder ของ Google
  2. นำ URL ของหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการติดตามผล หรือ Landing Page ใส่ลงในช่อง Website URL
  3. กรอกข้อมูล UTM Parameters ตามลำดับ
  • utm_source (จำเป็นต้องระบุ)
  • utm_medium (จำเป็นต้องระบุ)
  • utm_campaign (จำเป็นต้องระบุ)
  • utm_term (ไม่จำเป็นต้องระบุ)
  • utm_content (ไม่จำเป็นต้องระบุ)

คำแนะนำในการตั้งชื่อ UTM Parameters

  • ตั้งชื่อให้กระชับแต่สื่อความหมายชัดเจน
  • ใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กทั้งหมดเพื่อความสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้อักขระพิเศษที่อาจทำให้ URL เสียหาย
  • ใช้เครื่องหมายขีดล่าง (_) แทนการเว้นวรรค
  • ใช้ระบบการตั้งชื่อที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร

อย่างไรก็ตาม ถ้ารู้สึกว่า URL ที่ได้หลังจากสร้าง UTM Link มันยาวเกินไปและดูไม่สวยงาม คุณก็สามารถทำการย่อลิงก์ด้วย Bitly หรือ TinyURL เพื่อทำให้ลิงก์สั้นลงก่อนนำไปใช้งานได้

วิธีดูผลลัพธ์ของการทำ UTM Tracking

การติดตามผลลัพธ์จากการทำ UTM Tracking สามารถทำได้ผ่านเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ อย่าง Google Analytics ที่เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google เอง ซึ่งการดูผลลัพธ์จะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักที่สำคัญ คือการดูรายงาน Source/Medium และการดูรายงาน Campaign

  • วิธีดูรายงาน Source/Medium ให้เข้าไปที่เมนู Acquisition > All Traffic > Source/Medium
  • วิธีดูรายงาน Campaign ให้ข้าไปที่เมนู Acquisition > Campaigns > All Campaigns

ใครที่ยังติดตั้ง Google Analytics ไม่เป็น สามารถดูวิธีได้ที่นี่วิธีติดตั้ง Google Analytic 4

สรุป

ในฐานะนักการตลาดออนไลน์ UTM คือเครื่องมือที่จำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากคุณสามารถนำรายงานผลลัพธ์ที่ได้มาวิเคราะห์ต่อและใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้อย่างแม่นยำ นอกเหนือจากการใช้ UTM Tracking แคมเปญโฆษณาแล้ว ยังสามารถใช้ในการวัดผลลัพธ์ของการทำ SEO หรือประสิทธิภาพของบทความ SEO ที่เราบรรจงเขียนตามอัลกอริทึม E-E-A-T Factor และ YMYL ด้วย ใครที่ยังไม่เคยลองใช้ แนะนำให้ไปลองสร้าง UTM โดยด่วน ส่วนวิธีสร้างก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เข้าไปที่ Campaign URL Builder และกรอกข้อมูลลงไป หากพบว่า UTM Link ยาวเกินไปก็ทำการย่อลิงก์ให้น่าคลิกมากขึ้นได้

สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งด้านการทำการตลาดออนไลน์เลย อยากลงคอร์สเรียนการตลาด อยากรู้ว่า Google Ads ทำยังไง หรือกำลังคิดว่าจะเรียนยิงแอดที่ไหนดีอยู่ ANGA Mastery คือสถาบันสอนการตลาดออนไลน์ โดยผู้เชี่ยวชาญจากดิจิทัลเอเจนซี่รับทำ SEO และ Performance Marketing เปิดคลาสเรียนการตลาดทั้งในรูปแบบ Public Training (เรียนร่วมกับผู้อื่น) และ In-House Training (จัดอบรมภายในองค์กร) สามารถเลือกคลาสที่สนใจได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สเรียน Google Adsคอร์สเรียน Faceook Ads หรือคอร์สเรียน SEO ก็ตาม

คอร์สเรียน Google Analytics 4 เรียนออนไลน์
คอร์สเรียน SEO Strategy for Executives (Onsite)
คอร์สเรียน Website Tracking (Onsite)
คอร์สเรียนยิงแอด Facebook (Onsite)
คอร์สเรียน Google Ads

พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์

ปรึกษาคอร์สเรียน
วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

กันยายน 16

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

การทำงานกับ Influencer เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าใหม่ได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าทราฟฟิกจาก Influencer มีผลลัพธ์จริงแค่ไหน ก็ยากที่จะวัด ROI ของการจ้างงาน บทความนี้จะพาคุณทำ Step by Step ตั้งแต่การสร้างลิงก์ ไปจนถึงการดูรายงานใน Google Analytics ทำไมต้อง Track Traffic จาก Influencer? Step by Step วิธี Track User จาก Influencer ด้วย Google Analytics สมมุติว่าตอนนี้ทีมการตลาดของเราจ้าง Influencer ให้ทำคอนเท้นโปรโมทสินค้าและบริการของเราบน Facebook โดยในแคปชั่นที่เขาเขียนจะมีลิงค์เข้าเว็ปไซต์เรา เพื่อให้คนคลิ๊กเข้ามาดูรายละเอียดสินค้าและบริการของเรา 1. สร้างลิงก์ UTM สำหรับ Influencer เราจำเป็นต้องสร้าง UTM Link ของเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ Google Analytics รู้ว่าผู้ใช้มาจากแคมเปญ Influencer เช่น: https://angamastery.co.th/?utm_source=facebook&utm_medium=influencer&utm_campaign=summer_sale (สามารถสร้างได้ที่ ลิงค์นี้) เพียงเท่านี้ Google Analytics จะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่า user ที่คลิ๊กเข้ามาจากลิงค์นี้เป็นคนที่คลิ๊กเข้ามาจาก Facebook Post ของ Influencer ในแคมเปญของ Summer Sale 2. แชร์ลิงก์นี้ให้ Influencer ส่งลิงก์ที่มี UTM ให้ Influencer เพื่อใส่ในคอนเท้นหรือโพสของพวกเขา 3. สร้าง Channel Group ใหม่ใน GA4 (Google Analytics 4) เพื่อให้ทราฟฟิกจาก Influencer แสดงผลใน Channel Group แยกออกมา: 1.เข้า Google Analytics 2. ไปที่ Admin > Data Settings > Channel Groups 3. คลิก Create new channel group 4. ในช่อง Group Name ให้ตั้งชื่อว่า Influencer ว่า Description ว่า GA4 Influencer Tracking 5. ในช่อง Channel name ให้ใส่ Influencer และ กำหนด Channel Condition ดังนี้: 6. กด Save Channel เพียงเท่านี้ก็จะสามารถสร้าง Default Channel Group ที่ชื่อว่า Influencer ได้เองแล้ว 4. ตรวจสอบ Report สรุป เพียงทำตาม Step ง่าย ๆ นี้ คุณก็สามารถ Track User และ Session ที่เข้ามาจาก Influencer ได้แล้ว โดยแยกเป็น Channel Group ใหม่ ทำให้เห็นชัดเจนว่า Influencer มีผลต่อ Conversion และยอดขายจริงหรือไม่

Related News

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics
วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

16 กันยายน

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

เรียนรู้วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics ตั้งแต่การสร้าง UTM ไปจนถึงการตั้งค่า Channel Group ใหม่ เพื่อวัดผลแคมเปญได้อย่างแม่นยำ

อ่านเพิ่มเติม
Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

9 กันยายน

Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

ANGA MASTERY นำเสนอเทคนิคการทำ Facebook Ads ที่เอเจนซี่เราใช้งานจริง นั่นก็คือการทำ Budget Testing Scenario เพื่อยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

อ่านเพิ่มเติม