รู้จัก UX/UI Design คืออะไร? เทคนิคคู่ SEO

By Suppanat Thaiyanant I Google Analytics 4 Specialist

04 OCTOBER 24

116

UXUI Design คืออะไร  เทคนิคคู่ SEO ที่สร้างผลลัพธ์ได้มากกว่าความสวย (1).webp

รู้จัก UX/UI Design คืออะไร? เทคนิคคู่ SEO

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์ทวีความเข้มข้นขึ้นทุกวัน การมีเว็บไซต์ที่สวยงามเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมบางเว็บไซต์ถึงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางเว็บไซต์กลับล้มเหลวแม้จะลงทุนมหาศาล? คำตอบอยู่ที่การผสมผสานระหว่าง UX/UI Design และ SEO อย่างลงตัว

จากการศึกษาล่าสุดโดย Forrester Research พบว่า การออกแบบ UX ที่ดีสามารถเพิ่มอัตราการแปลงผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) ได้สูงถึง 400% นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Google ยังระบุว่า 53% ของผู้ใช้มือถือจะออกจากเว็บไซต์หากต้องรอการโหลดนานเกิน 3 วินาที ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ UX/UI ที่มีต่อความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์

ในบทความนี้ ANGA Mastery เราจะพาคุณเจาะลึกว่า UX/UI Design คืออะไร ทำไมมันถึงสำคัญต่อ SEO และธุรกิจออนไลน์ พร้อมเผยเทคนิคการออกแบบ UX/UI ที่จะช่วยยกระดับเว็บไซต์ของคุณให้โดดเด่นทั้งในสายตาผู้ใช้และ Search Engine ไปพร้อมๆ กัน

UX/UI Design คืออะไร?

ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงเทคนิคต่างๆ มาทำความเข้าใจพื้นฐานของ UX/UI Design กันก่อน

รู้จัก UX/UI Design คืออะไร? เทคนิคคู่ SEO

User Experience (UX) คืออะไร?

User Experience หรือ UX คือประสบการณ์โดยรวมที่ผู้ใช้ได้รับเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ในกรณีของเว็บไซต์ UX จะครอบคลุมตั้งแต่ความรู้สึกแรกเมื่อเข้าชมเว็บไซต์ ความสะดวกในการใช้งาน ไปจนถึงความพึงพอใจหลังจากใช้งานเสร็จสิ้น

UX ที่ดีจะต้องมีลักษณะดังนี้

  1. ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน: ผู้ใช้ควรสามารถเข้าใจวิธีใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องมีคำแนะนำมากมาย
  2. ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างตรงจุด: เว็บไซต์ควรมีฟีเจอร์และข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการโดยไม่ต้องค้นหานาน
  3. สร้างความประทับใจและความพึงพอใจ: ผู้ใช้ควรรู้สึกดีเมื่อใช้งานเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงาม ความรวดเร็ว หรือความสะดวก
  4. ทำให้ผู้ใช้อยากกลับมาใช้ซ้ำ: ประสบการณ์ที่ดีจะทำให้ผู้ใช้อยากกลับมาใช้บริการอีกในอนาคต

รู้จัก UX/UI Design คืออะไร? เทคนิคคู่ SEO

User Interface (UI) คืออะไร?

User Interface หรือ UI คือส่วนที่ผู้ใช้มองเห็นและมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ในกรณีของเว็บไซต์ UI จะรวมถึงองค์ประกอบต่างๆ เช่น หน้าจอ ปุ่มกด เมนู สี ฟอนต์ และการจัดวางต่างๆ บนหน้าเว็บ

UI ที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

  1. สวยงาม ดึงดูดสายตา: ใช้สีและการออกแบบที่สอดคล้องกับแบรนด์และดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย
  2. ใช้งานง่าย เข้าใจได้ทันที: ปุ่มและเมนูต่างๆ ควรมีขนาดและตำแหน่งที่เหมาะสม ใช้ไอคอนที่สื่อความหมายชัดเจน
  3. สอดคล้องกับแบรนด์: ใช้สี ฟอนต์ และสไตล์การออกแบบที่สะท้อนอัตลักษณ์ของแบรนด์
  4. ตอบสนองได้รวดเร็ว: องค์ประกอบต่างๆ ควรโหลดเร็วและตอบสนองทันทีเมื่อผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์
  5. มีความสม่ำเสมอ: ใช้รูปแบบการออกแบบที่คงเส้นคงวาทั่วทั้งเว็บไซต์

รู้จัก UX/UI Design คืออะไร? เทคนิคคู่ SEO

สรุปความแตกต่างของ UX, UI และ SEO

แม้ว่า UX และ UI จะมีความแตกต่างกัน แต่ทั้งสองส่วนนี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ และเมื่อนำมาผนวกกับ SEO จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์

1. UX มุ่งเน้นที่ความรู้สึกและประสบการณ์โดยรวม

  • ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย
  • สร้าง User Flow ที่ราบรื่น
  • วิเคราะห์และแก้ไขปัญหาของผู้ใช้

2.UI เน้นที่หน้าตาและการใช้งานที่มองเห็นได้

  • ออกแบบองค์ประกอบกราฟิก เช่น ปุ่ม ไอคอน
  • เลือกใช้สีและฟอนต์ที่เหมาะสม
  • จัดวาง Layout ให้สวยงามและใช้งานง่าย

3.SEO ช่วยให้เว็บไซต์ถูกค้นพบได้ง่ายใน Search Engine

  • ปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ Search Engine
  • ปรับปรุงความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์
  • สร้าง Backlink และ Internal Link ที่มีคุณภาพ

ความเชื่อมโยงระหว่าง UX, UI และ SEO

  • UX ที่ดีช่วยลด Bounce Rate และเพิ่ม Dwell Time ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ Google
  • UI ที่สวยงามและใช้งานง่ายช่วยดึงดูดให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น ส่งผลดีต่อ SEO
  • การออกแบบที่คำนึงถึง SEO ตั้งแต่ต้น เช่น การใช้ Header Tags อย่างเหมาะสม จะช่วยทั้งในแง่ของ UX และการจัดอันดับใน Search Engine

เมื่อทั้งสามส่วนนี้ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว จะช่วยสร้างเว็บไซต์ที่ไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังใช้งานง่าย ค้นหาได้ง่าย และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของ UX/UI ต่อ SEO และธุรกิจออนไลน์

UX/UI ไม่ได้มีผลแค่กับความพึงพอใจของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อ SEO และความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์ มาดูกันว่าทำไม UX/UI ถึงมีความสำคัญมากในปัจจุบัน

รู้จัก UX/UI Design คืออะไร? เทคนิคคู่ SEO

ผลกระทบของ UX/UI ต่อ Core Web Vitals

การเปลี่ยนแปลงสำคัญในอัลกอริทึมของ Google ปี 2024 ทำให้เห็นว่า Core Web Vitals ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO ในเดือนพฤษภาคม 2024 Google ได้อัปเดต PageSpeed Insights และ API เป็นเวอร์ชัน Lighthouse 12.0

ตัวชี้วัดหลักที่เราต้องให้ความสำคัญยังคงเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดี

  • Largest Contentful Paint (LCP): วัดว่าเนื้อหาหลักของหน้าเว็บโหลดเร็วแค่ไหน
  • Interaction to Next Paint (INP): ดูว่าหน้าเว็บตอบสนองต่อการใช้งานของผู้เยี่ยมชมได้ดีแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการคลิก การแตะ หรือการพิมพ์
  • Cumulative Layout Shift (CLS): ตรวจสอบว่าหน้าเว็บมีการกระโดดหรือเลื่อนขณะโหลดมากน้อยแค่ไหน
  • First Contentful Paint (FCP): วัดว่าผู้ใช้เห็นอะไรบนหน้าจอเป็นอย่างแรกเร็วแค่ไหน
  • Time to First Byte (TTFB): ดูว่าเซิร์ฟเวอร์ตอบสนองเร็วแค่ไหนเมื่อมีคนเข้าเว็บ

การปรับปรุงตัวชี้วัดเหล่านี้สำคัญมากถ้าเราอยากให้เว็บติดอันดับดีๆ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้ ซึ่งการออกแบบ UX/UI ที่คำนึงถึง Core Web Vitals จะช่วยปรับปรุงคะแนนเหล่านี้ให้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อการจัดอันดับใน Google และประสบการณ์ของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น

  • การใช้ Lazy Loading สำหรับรูปภาพและวิดีโอ
  • การ Minify CSS และ JavaScript
  • การใช้ Content Delivery Network (CDN) เพื่อลดเวลาในการโหลด
  • การออกแบบ UI ที่ไม่ซับซ้อนเกินไป ลดการใช้ Animation ที่ไม่จำเป็น

UX/UI กับการลด Bounce Rate และเพิ่ม Dwell Time

Bounce Rate คืออัตราการออกจากเว็บไซต์หลังจากดูเพียงหน้าเดียว ส่วน Dwell Time คือระยะเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ก่อนกลับไปยังหน้าผลการค้นหา ทั้งสองปัจจัยนี้มีผลต่อการจัดอันดับใน Google อย่างมาก ซึ่ง UX/UI ที่ดีจะช่วย

1.ลด Bounce Rate

  • สร้างความประทับใจแรกพบด้วย UI ที่สวยงาม
  • ใช้ Clear Call-to-Action (CTA) เพื่อนำทางผู้ใช้
  • ออกแบบโครงสร้างเนื้อหาที่อ่านง่าย สแกนง่าย
  • ใช้ Responsive Design เพื่อรองรับทุกอุปกรณ์

2.เพิ่ม Dwell Time

  • สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณภาพ
  • ใช้ Visual Hierarchy ที่ชัดเจน ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาได้ง่าย
  • ใช้ Internal Linking เพื่อแนะนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
  • ออกแบบ Navigation ที่ใช้งานง่าย ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลได้สะดวก

การออกแบบ UX/UI ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO

นอกจาก Core Web Vitals แล้ว การออกแบบ UX/UI ที่คำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับต้นๆ ของ Google และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ไปพร้อมๆ กัน

1.Mobile-friendliness

  • Google ใช้ Mobile-first Indexing ดังนั้นการออกแบบที่รองรับมือถือจึงสำคัญมาก
  • ใช้ Responsive Design หรือ Adaptive Design
  • ออกแบบปุ่มและลิงก์ให้ใหญ่พอสำหรับการใช้งานบนมือถือ
  • ปรับฟอนต์และขนาดข้อความให้อ่านง่ายบนหน้าจอเล็ก

2.Page Speed

  • เว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะได้คะแนน SEO ที่ดีกว่า
  • ใช้เทคนิคการ Optimize รูปภาพ เช่น การบีบอัดและการใช้ format ที่เหมาะสม
  • Minify CSS, JavaScript, และ HTML
  • ใช้ Browser Caching เพื่อลดเวลาโหลดในการเข้าชมครั้งต่อไป

3.User Signals

  • พฤติกรรมการใช้งานของผู้เข้าชม เช่น อัตราการคลิก (CTR), Dwell Time, และ Bounce Rate มีผลต่อ SEO
  • ออกแบบ Title Tags และ Meta Descriptions ที่น่าสนใจเพื่อเพิ่ม CTR
  • สร้าง Content ที่ตรงกับ Search Intent ของผู้ใช้

4.Accessibility

  • การออกแบบที่คำนึงถึงการเข้าถึงสำหรับผู้พิการช่วยเพิ่มฐานผู้ใช้และส่งผลดีต่อ SEO
  • ใช้ Alt Text สำหรับรูปภาพ
  • ออกแบบโครงสร้างหน้าเว็บให้สามารถนำทางด้วยคีย์บอร์ดได้
  • ใช้ Contrast ที่เหมาะสมระหว่างข้อความกับพื้นหลัง

5.URL Structure

  • ออกแบบโครงสร้าง URL ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้และ SEO
  • ใช้คำหลักใน URL และทำให้สั้นกระชับ

องค์ประกอบสำคัญของ UX/UI Design ที่ส่งผลต่อ SEO

เมื่อเข้าใจความสำคัญของ UX/UI ต่อ SEO แล้ว มาดูกันว่าองค์ประกอบไหนบ้างที่สำคัญและควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ

1. การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์และ Navigation

โครงสร้างเว็บไซต์และระบบ Navigation ที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้งานสะดวก แต่ยังส่งผลดีต่อ SEO ด้วย ดังนี้

1.ใช้โครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierarchical Structure)

  • ช่วยให้ Google เข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาในเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
  • จัดหมวดหมู่เนื้อหาอย่างเป็นระบบ เช่น หน้าหลัก > หมวดหมู่ > บทความ
  • ใช้ Internal Linking อย่างมีกลยุทธ์เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

2.ออกแบบ Navigation ให้เข้าใจง่าย

  • ใช้ชื่อเมนูที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา
  • จัดหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบ ไม่ซับซ้อนเกินไป
  • ใช้ Mega Menu สำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาจำนวนมาก

3.สร้าง Sitemap:

  • ทำ XML Sitemap เพื่อให้ Search Engine เข้าถึงทุกหน้าในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
  • สร้าง HTML Sitemap สำหรับผู้ใช้ เพื่อช่วยในการนำทาง

4.ใช้ Breadcrumbs

  • แสดงตำแหน่งปัจจุบันของผู้ใช้ในเว็บไซต์
  • ช่วยในการ Navigation และส่งผลดีต่อ SEO โดยเฉพาะเมื่อใช้ Schema Markup

5.ออกแบบ Footer ที่มีประโยชน์

  • ใส่ลิงก์ไปยังหน้าสำคัญของเว็บไซต์
  • แสดงข้อมูลติดต่อและลิงก์ไปยัง Social Media

เทคนิคเพิ่มเติม

  • ใช้ Search Function ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่
  • ทำ A/B Testing เพื่อหารูปแบบ Navigation ที่ผู้ใช้ชอบมากที่สุด
  • ใช้ Heat Map Tools เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของผู้เข้าชม และปรับปรุง Navigation ให้เหมาะสม

2. การออกแบบ Mobile-Friendly

ในยุคที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เข้าเว็บผ่านมือถือ การออกแบบให้เป็น Mobile-Friendly จึงสำคัญมาก ไม่เพียงแต่เพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ Google ด้วย

1.ใช้ Responsive Design

  • ปรับขนาดและ Layout ให้เหมาะสมกับทุกหน้าจอโดยอัตโนมัติ
  • ใช้ CSS Media Queries เพื่อกำหนดสไตล์ที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละขนาดหน้าจอ
  • ทดสอบบนอุปกรณ์จริงหลากหลายรุ่นเพื่อให้แน่ใจว่าแสดงผลได้ดีจริง

2.ออกแบบปุ่มและลิงก์ให้กดง่ายบนมือถือ

  • ขนาดควรใหญ่พอ (อย่างน้อย 44x44 pixels)
  • มีระยะห่างระหว่างปุ่มที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการกดผิด
  • ใช้ Touch Target ที่ใหญ่พอสำหรับการใช้นิ้วกด

3.ใช้ Font ที่อ่านง่ายบนหน้าจอเล็ก

  • เลือกขนาดและสไตล์ที่ชัดเจน (ขนาดอย่างน้อย 16px สำหรับเนื้อหาหลัก)
  • ใช้ Line Height ที่เหมาะสม (ประมาณ 1.5)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ Font แปลกๆ ที่อาจไม่รองรับบนทุกอุปกรณ์

4.Optimize รูปภาพสำหรับมือถือ

  • ใช้เทคนิค Lazy Loading เพื่อประหยัด Bandwidth
  • ใช้ Responsive Images ที่ปรับขนาดตามหน้าจอ
  • Compress รูปภาพให้มีขนาดเล็กลงโดยไม่เสียคุณภาพมากนัก

5.ปรับปรุง Navigation สำหรับมือถือ

  • ใช้ Hamburger Menu เพื่อประหยัดพื้นที่
  • ทำให้ Search Function เข้าถึงได้ง่าย
  • ใช้ Sticky Header เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง Navigation ได้ตลอดเวลา

6.ออกแบบ Forms ให้ใช้งานง่ายบนมือถือ

  • ใช้ Input Type ที่เหมาะสม (เช่น type="tel" สำหรับเบอร์โทรศัพท์)
  • แสดง Keyboard ที่เหมาะสมกับประเภทข้อมูลที่ต้องการ
  • ใช้ Auto-fill เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการกรอกข้อมูล

เทคนิคเพิ่มเติม

  • ใช้ Google's Mobile-Friendly Test เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณ Mobile-Friendly หรือไม่
  • พิจารณาใช้ AMP (Accelerated Mobile Pages) สำหรับเนื้อหาที่ต้องการโหลดเร็วเป็นพิเศษ เช่น บทความข่าว หรือบล็อกโพสต์
  • ทำ User Testing บนอุปกรณ์มือถือจริงเพื่อรับ Feedback และปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

3. Page Speed และการ Optimize รูปภาพ

ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บมีผลโดยตรงต่อ UX และ SEO โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนอุปกรณ์มือถือ ต่อไปนี้เป็นวิธีการ Optimize Page Speed และรูปภาพ

1.Minimize CSS, JavaScript, และ HTML

  • ลดขนาดไฟล์เพื่อให้โหลดเร็วขึ้น
  • ใช้เครื่องมือ Minification เช่น UglifyJS สำหรับ JavaScript หรือ cssnano สำหรับ CSS
  • ลบ Code ที่ไม่จำเป็นและ Comments ออก

2.ใช้ Browser Caching

  • เก็บข้อมูลบางส่วนไว้ในเครื่องผู้ใช้ เพื่อโหลดเร็วขึ้นในครั้งต่อไป
  • กำหนด Expiration Date ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละประเภทของ Resource

3.Optimize รูปภาพ

  • JPEG สำหรับภาพถ่ายและภาพที่มีสีสันมาก
  • PNG สำหรับภาพที่ต้องการความโปร่งใสหรือมีพื้นที่สีเรียบ
  • WebP เป็นทางเลือกใหม่ที่ให้คุณภาพดีและขนาดไฟล์เล็ก
  • Compress รูปภาพโดยไม่เสียคุณภาพมากนัก ใช้เครื่องมือเช่น TinyPNG หรือ ImageOptim
  • กำหนดขนาดรูปภาพที่เหมาะสม ไม่ใหญ่เกินความจำเป็น
  • ใช้ Lazy Loading เพื่อโหลดเฉพาะรูปภาพที่อยู่ในหน้าจอ
  • ใช้ Responsive Images ที่ปรับขนาดตามอุปกรณ์

4.ใช้ Content Delivery Network (CDN)

  • ช่วยกระจายโหลดและเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงเว็บไซต์
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมจากหลายพื้นที่ทั่วโลก

5.Optimize Server Response Time

  • เลือกใช้ Web Hosting ที่มีประสิทธิภาพ
  • ใช้ Database Optimization เพื่อลดเวลาในการ Query
  • ใช้ Server-side Caching เช่น Memcached หรือ Redis

6.ลดการ Redirects

  • Redirects ทำให้เกิดการ Request เพิ่มเติม ซึ่งเพิ่มเวลาในการโหลด
  • ตรวจสอบและลด Redirects ที่ไม่จำเป็น

7.ใช้ Asynchronous Loading สำหรับ CSS และ JavaScript:

  • ช่วยให้บราวเซอร์โหลดและ Render หน้าเว็บได้เร็วขึ้น
  • ใช้ Attribute async และ defer สำหรับ Script tags

เทคนิคเพิ่มเติม

  • ใช้เครื่องมือวัดความเร็วเว็บไซต์เช่น Google PageSpeed Insights, GTmetrix, หรือ Pingdom เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
  • พิจารณาใช้ HTTP/2 ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บ
  • ทำ Critical CSS โดยแยก CSS ที่จำเป็นสำหรับการแสดงผลส่วนที่มองเห็นได้ทันทีแยกออกมา

4. การใช้ White Space และ Typography ที่อ่านง่าย

การจัดวางองค์ประกอบและการเลือกใช้ตัวอักษรที่เหมาะสมไม่เพียงแต่สร้างความสวยงาม แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้อ่านและเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อทั้ง UX และ SEO

การใช้ White Space

  1. ช่วยให้หน้าเว็บไม่ดูแน่นเกินไป:
    • ใช้ Margin และ Padding อย่างเหมาะสม
    • แบ่งเนื้อหาเป็นส่วนๆ ด้วย White Space
  2. ทำให้ผู้ใช้โฟกัสกับเนื้อหาสำคัญได้ง่ายขึ้น:
    • ใช้ White Space รอบๆ Call-to-Action (CTA) เพื่อดึงความสนใจ
    • สร้าง Visual Hierarchy ด้วยการใช้ White Space ที่แตกต่างกัน
  3. เพิ่ม Readability และลดความเหนื่อยล้าของสายตา:
    • ใช้ Line Height ที่เหมาะสม (ประมาณ 1.5-1.6)
    • เว้นระยะระหว่างย่อหน้าให้พอเหมาะ

Typography

  1. เลือกฟอนต์ที่อ่านง่าย เหมาะกับแบรนด์
    • ใช้ฟอนต์ที่มี Legibility สูง โดยเฉพาะสำหรับเนื้อหาหลัก
    • พิจารณาใช้ Web Safe Fonts หรือ Google Fonts เพื่อความเข้ากันได้กับทุกอุปกรณ์
  2. ใช้ขนาดตัวอักษรที่เหมาะสม
    • ขนาดฟอนต์หลักควรอย่างน้อย 16px
    • ใช้ Scale ที่เหมาะสมสำหรับ Headers (H1, H2, H3, etc.)
  3. สร้าง Contrast ระหว่างตัวอักษรกับพื้นหลัง
    • ใช้ Color Contrast ที่ผ่านมาตรฐาน WCAG 2.0
    • หลีกเลี่ยงการใช้สีตัวอักษรที่กลมกลืนกับพื้นหลังมากเกินไป
  4. ใช้ Line Height และ Letter Spacing ที่เหมาะสม
    • Line Height ประมาณ 1.5-1.6 สำหรับเนื้อหาหลัก
    • ปรับ Letter Spacing ให้เหมาะสม โดยเฉพาะสำหรับ Headers
  5. จำกัดความยาวของบรรทัด
    • ความยาวไม่ควรเกิน 70-80 ตัวอักษรต่อบรรทัด
    • ใช้ Column Layout สำหรับเนื้อหาที่ยาว

เทคนิคเพิ่มเติม

  • สามารถเลือกใช้ Typography ได้จาก Google Fonts
  • ใช้ A/B Testing เพื่อทดสอบว่า Typography แบบไหนที่ผู้ใช้ชอบและอ่านง่ายที่สุด
  • พิจารณาใช้ Dynamic Typography ที่ปรับขนาดตามหน้าจอของอุปกรณ์
  • ใช้เครื่องมือเช่น WebAIM Color Contrast Checker เพื่อตรวจสอบ Contrast Ratio

เทคนิคการออกแบบ UX/UI ที่เป็นมิตรกับ SEO

การออกแบบ UX/UI ที่คำนึงถึง SEO จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ทั้งในแง่ของการใช้งานและการจัดอันดับใน Search Engine ต่อไปนี้เป็นเทคนิคที่ควรนำมาใช้

  1. การสร้าง Content Hierarchy ที่ชัดเจน
    • ใช้ H1, H2, H3 tags อย่างถูกต้องตามลำดับความสำคัญของเนื้อหา
    • จัดวางเนื้อหาให้เป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการอ่านและเข้าใจ
    • ใช้ Visual Hierarchy เช่น ขนาดตัวอักษร สี และการจัดวาง เพื่อนำสายตาผู้ใช้
    • ใช้ Bullet Points และ Numbered Lists เพื่อแบ่งเนื้อหาให้อ่านง่าย
  2. การออกแบบ CTA ที่โดดเด่นและมีประสิทธิภาพ
    • ใช้สีที่ตัดกับพื้นหลังเพื่อให้สะดุดตา
    • ใช้ข้อความที่ชัดเจน บอกถึงประโยชน์ที่ผู้ใช้จะได้รับ
    • วางตำแหน่ง CTA ในจุดที่เห็นได้ง่าย แต่ไม่รบกวนการอ่านเนื้อหา
    • ทำ A/B Testing เพื่อหา CTA ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
  3. การใช้ Responsive Design
    • ออกแบบให้รองรับทุกขนาดหน้าจอ
    • ปรับ Layout และขนาดองค์ประกอบต่างๆ ให้เหมาะสมกับแต่ละอุปกรณ์
    • ใช้ Flexible Images ที่ปรับขนาดตามหน้าจอ
    • ทดสอบการใช้งานบนอุปกรณ์หลากหลายประเภท
  4. การ Optimize Forms เพื่อเพิ่ม Conversion Rate
    • ลดจำนวนฟิลด์ให้เหลือเท่าที่จำเป็น
    • ใช้ Auto-fill เพื่อช่วยประหยัดเวลาผู้ใช้
    • แสดง Error Message ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์
    • ใช้ Progressive Disclosure เพื่อไม่ให้ฟอร์มดูยาวเกินไป
    • ใช้ Inline Validation เพื่อแจ้งข้อผิดพลาดทันทีที่ผู้ใช้กรอกข้อมูล
  5. การใช้ Schema Markup
    • ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
    • ช่วยสร้าง Rich Snippets ใน Search Results ซึ่งช่วยเพิ่ม Click-Through Rate (CTR)
    • ใช้ Schema ที่เหมาะสมกับประเภทของเนื้อหา เช่น Product, Review, Event
  6. การออกแบบ 404 Page ที่มีประโยชน์
    • สร้าง Custom 404 Page ที่ช่วยนำทางผู้ใช้กลับสู่หน้าที่มีประโยชน์
    • ใส่ Search Box ใน 404 Page เพื่อช่วยผู้ใช้ค้นหาสิ่งที่ต้องการ
    • แนะนำลิงก์ที่เกี่ยวข้องหรือหน้าที่ได้รับความนิยม
  7. การใช้ Breadcrumbs
    • ช่วยผู้ใช้เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์และตำแหน่งปัจจุบัน
    • ช่วยในการ Navigation และส่งผลดีต่อ SEO
    • ใช้ Schema Markup สำหรับ Breadcrumbs เพื่อให้แสดงผลใน Search Results
  8. การออกแบบ URL ที่เป็นมิตรกับ SEO
    • ใช้ URL ที่สั้น เข้าใจง่าย และมีคำหลัก (Keywords)
    • หลีกเลี่ยงการใช้ Dynamic URLs ที่มีตัวเลขและสัญลักษณ์มากเกินไป
    • ใช้ Hyphens (-) แทน Underscores (_) เพื่อแยกคำใน URL
  9. การ Optimize รูปภาพสำหรับ SEO
    • ใช้ Alt Text ที่อธิบายรูปภาพอย่างชัดเจนและมี Keywords ที่เกี่ยวข้อง
    • ตั้งชื่อไฟล์รูปภาพให้มีความหมายและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา
    • ใช้ Responsive Images เพื่อให้แสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์
  10. การออกแบบ Navigation ที่เป็นมิตรกับ SEO
    • ใช้ Text-based Navigation แทน JavaScript หรือ Flash
    • จัดโครงสร้าง Navigation ให้สอดคล้องกับโครงสร้างเว็บไซต์
    • ใช้ Descriptive Anchor Text สำหรับลิงก์ใน Navigation

ทักษะที่ควรมีใน UX/UI Designer

สำหรับผู้ที่สนใจเป็น UX/UI Designer ควรพัฒนาทักษะดังต่อไปนี้

  1. ความเข้าใจผู้ใช้ (User Empathy)
    • สามารถเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของผู้ใช้
    • รู้จักการทำ User Research และ Usability Testing
    • สามารถสร้าง User Personas และ User Journey Maps
  2. การออกแบบที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (User-Centered Design)
    • เข้าใจหลักการ Design Thinking
    • สามารถนำข้อมูลจากการวิจัยมาใช้ในการออกแบบ
    • เข้าใจหลักการ Accessibility และ Inclusive Design
  3. ทักษะการออกแบบ Visual
    • รู้หลักการออกแบบพื้นฐาน เช่น สี, Typography, Layout
    • สามารถใช้เครื่องมือออกแบบเช่น Figma, Sketch, Adobe XD
    • เข้าใจหลักการ Responsive Design และ Mobile-First Design
  4. ความเข้าใจเรื่อง Information Architecture
    • สามารถจัดโครงสร้างข้อมูลและ Navigation ที่มีประสิทธิภาพ
    • เข้าใจหลักการ Taxonomy และ Content Modeling
  5. ทักษะการ Prototyping
    • สามารถสร้าง Interactive Prototypes เพื่อทดสอบไอเดีย
    • รู้จักใช้เครื่องมือ Prototyping ต่างๆ เช่น InVision, Axure, Adobe XD
  6. ความรู้พื้นฐานด้าน Web Development
    • เข้าใจหลักการ HTML, CSS, และ JavaScript พื้นฐาน
    • รู้ข้อจำกัดและความเป็นไปได้ในการพัฒนา
    • สามารถสื่อสารกับทีม Developer ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  7. ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล
    • สามารถอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลจาก Analytics Tools
    • ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจและปรับปรุงการออกแบบ
    • เข้าใจหลักการ A/B Testing และ Multivariate Testing
  8. ความเข้าใจเรื่อง SEO พื้นฐาน
    • รู้ว่าการออกแบบส่งผลต่อ SEO อย่างไร
    • สามารถออกแบบโดยคำนึงถึงการ Optimize สำหรับ Search Engines
    • เข้าใจความสำคัญของ Page Speed และ Mobile-Friendliness
  9. ทักษะการสื่อสารและการนำเสนอ
    • สามารถอธิบายแนวคิดการออกแบบให้ทีมและลูกค้าเข้าใจ
    • นำเสนอผลงานอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สามารถรับและให้ Feedback อย่างสร้างสรรค์
  10. การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
    • ติดตาม Trends และเทคโนโลยีใหม่ๆ ในวงการ UX/UI
    • พร้อมปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
    • เข้าร่วม Community และ Events ที่เกี่ยวข้องกับ UX/UI
  11. ทักษะการจัดการโครงการ
    • เข้าใจกระบวนการทำงานแบบ Agile และ Scrum
    • สามารถบริหารเวลาและทรัพยากรในโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • มีทักษะการทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ
  12. ความเข้าใจในธุรกิจและ Digital Marketing
    • เข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจและสามารถออกแบบให้สอดคล้อง
    • รู้หลักการพื้นฐานของ Digital Marketing และ Conversion Optimization

สรุปบทความ

การออกแบบ UX/UI ที่ดีไม่เพียงแต่สร้างความสวยงามและใช้งานง่าย แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของหน้า SEO กับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ และความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์ สำหรับเจ้าของธุรกิจ, ทีม Marketing และ C-level Executives ที่ต้องการยกระดับเว็บไซต์และธุรกิจออนไลน์ของตน การเข้าใจและนำหลักการ UX/UI Design ไปใช้ร่วมกับ SEO Strategy จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก ไม่เพียงแค่สร้างเว็บไซต์ที่สวยงาม แต่ยังสามารถสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้

การพัฒนาทักษะด้าน UX/UI และ SEO เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริหารยุคใหม่ ซึ่งสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้จาก หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง ที่ครอบคลุมทั้งด้านการตลาดดิจิทัลและการบริหารธุรกิจ นอกจากนี้ การติดตามข่าวสารการตลาดและธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณทันต่อเทรนด์ล่าสุดในวงการ UX/UI และ SEO

สำหรับผู้ที่ต้องการเจาะลึกในด้าน SEO โดยเฉพาะ เราขอแนะนำ คอร์สสอน SEO ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจเทคนิคการทำ SEO อย่างลึกซึ้ง หรือหากต้องการมุมมองที่กว้างขึ้นในด้านการตลาดดิจิทัล คอร์สเรียน Marketing ของเราก็พร้อมมอบความรู้ที่ครอบคลุมและทันสมัย เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Related News

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ