No-Code และ Low-Code คืออะไร พร้อมแจกเครื่องมือการใช้งาน

ANGA Mastery

14 AUGUST 24

289

MASTERY-COVER-AUG-07.webp

การพัฒนาแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ในทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องของนักพัฒนาซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป No-Code และ Low-Code เป็นแนวคิดและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างโซลูชันดิจิทัล ทำให้ผู้ที่ไม่มีทักษะการเขียนโค้ดสามารถสร้างแอปและเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ No-Code และ Low-Code อย่างละเอียด พร้อมแนะนำเครื่องมือยอดนิยมที่คุณสามารถใช้งานได้ทันที ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการ นักการตลาด หรือผู้ที่สนใจในเทคโนโลยี บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถนำ No-Code และ Low-Code ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

No-Code คืออะไร?

7.1 No-Code คืออะไร.webp

No-Code เป็นแนวทางการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใดๆ เลย โดยใช้อินเตอร์เฟซแบบกราฟิกและเครื่องมือที่ใช้งานง่าย

ลักษณะเด่นของ No-Code

  1. ใช้งานง่าย: ผู้ใช้สามารถสร้างแอปได้โดยใช้การลากและวาง (drag-and-drop) หรือการตั้งค่าผ่านหน้าจอที่ใช้งานง่าย
  2. รวดเร็ว: สามารถสร้างแอปหรือเว็บไซต์ได้ในเวลาอันสั้น
  3. ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดความจำเป็นในการจ้างนักพัฒนามืออาชีพ
  4. ยืดหยุ่น: สามารถปรับเปลี่ยนและอัพเดตได้ง่าย

ข้อจำกัดของ No-Code

  1. ความสามารถจำกัด: อาจไม่รองรับฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อนมากๆ
  2. การปรับแต่งมีข้อจำกัด: อาจไม่สามารถปรับแต่งทุกอย่างได้ตามต้องการ
  3. การพึ่งพาแพลตฟอร์ม: อาจมีข้อจำกัดในการย้ายข้อมูลหรือแอปไปยังแพลตฟอร์มอื่น

Low-Code คืออะไร?

7.2 Low-Code คืออะไร.webp

Low-Code เป็นแนวทางการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยลดความจำเป็นในการเขียนโค้ดด้วยมือ โดยใช้อินเตอร์เฟซแบบกราฟิกและการกำหนดค่าล่วงหน้า แต่ยังคงเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดเพิ่มเติมได้เมื่อต้องการฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อน

ลักษณะเด่นของ Low-Code

  1. พัฒนาได้เร็วขึ้น: ลดเวลาในการพัฒนาโดยใช้คอมโพเนนต์สำเร็จรูปและเทมเพลต
  2. ยืดหยุ่นสูง: สามารถปรับแต่งและเพิ่มฟังก์ชันเฉพาะทางได้
  3. ลดความซับซ้อน: ช่วยให้นักพัฒนามือใหม่สามารถสร้างแอปที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น
  4. ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดเวลาและทรัพยากรในการพัฒนา

ข้อจำกัดของ Low-Code

  1. ต้องการความรู้พื้นฐานด้านการเขียนโค้ด: ผู้ใช้ยังต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม
  2. อาจมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ: แอปที่สร้างด้วย Low-Code อาจมีประสิทธิภาพด้อยกว่าแอปที่เขียนโค้ดทั้งหมดด้วยมือ
  3. การพึ่งพาแพลตฟอร์ม: อาจมีข้อจำกัดในการย้ายโปรเจ็กต์ไปยังแพลตฟอร์มอื่น

เปรียบเทียบ No-Code และ Low-Code

เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง No-Code และ Low-Code ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มาดูการเปรียบเทียบในประเด็นต่างๆ กัน

  1. ความซับซ้อนของการใช้งาน
    • No-Code: ใช้งานง่ายที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ด
    • Low-Code: ต้องการความรู้พื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรม เหมาะสำหรับนักพัฒนามือใหม่หรือผู้ที่มีความรู้ด้านไอทีบ้าง
  2. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง
    • No-Code: มีข้อจำกัดในการปรับแต่ง ต้องทำงานภายใต้เทมเพลตและฟังก์ชันที่มีให้
    • Low-Code: มีความยืดหยุ่นสูงกว่า สามารถเพิ่มโค้ดเองได้เมื่อต้องการฟังก์ชันเฉพาะทาง
  3. ประเภทของแอปพลิเคชันที่สร้างได้
    • No-Code: เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันทั่วไป เช่น เว็บไซต์ แอปจัดการข้อมูลพื้นฐาน
    • Low-Code: สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนขึ้นได้ รวมถึงแอปสำหรับองค์กรขนาดใหญ่
  4. เวลาในการพัฒนา
    • No-Code: พัฒนาได้เร็วที่สุด สามารถสร้างแอปพื้นฐานได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือวัน
    • Low-Code: พัฒนาได้เร็วกว่าการเขียนโค้ดทั้งหมด แต่อาจใช้เวลามากกว่า No-Code เล็กน้อย
  5. การบำรุงรักษาและอัพเดต
    • No-Code: ง่ายต่อการบำรุงรักษาและอัพเดต สามารถทำได้โดยผู้ใช้ทั่วไป
    • Low-Code: ต้องการความรู้ทางเทคนิคบ้างในการบำรุงรักษาและอัพเดต โดยเฉพาะส่วนที่มีการเพิ่มโค้ดเอง

เครื่องมือ No-Code ยอดนิยม

7.3 เครื่องมือ No-Code ยอดนิยม.webp

ต่อไปนี้คือเครื่องมือ No-Code ที่ได้รับความนิยมและคุณสามารถเริ่มใช้งานได้ทันที

1. Bubble

  • ประเภท: แพลตฟอร์มสร้างเว็บแอปพลิเคชันแบบครบวงจร
  • จุดเด่น: สร้างแอปที่ซับซ้อนได้ มีความยืดหยุ่นสูง รองรับการทำงานแบบ responsive
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันเว็บที่มีฟังก์ชันการทำงานหลากหลาย

2. Webflow

  • ประเภท: เครื่องมือสร้างเว็บไซต์และ CMS
  • จุดเด่น: ออกแบบเว็บไซต์ที่สวยงามและมีความเป็นมืออาชีพ รองรับ responsive design
  • เหมาะสำหรับ: นักออกแบบเว็บไซต์ และผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่มีดีไซน์โดดเด่น

3. Airtable

  • ประเภท: ฐานข้อมูลและเครื่องมือจัดการข้อมูลแบบ visual
  • จุดเด่น: ยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย เชื่อมต่อกับแอปอื่นๆ ได้ง่าย
  • เหมาะสำหรับ: การจัดการโปรเจ็กต์ การทำ CRM อย่างง่าย หรือการจัดการฐานข้อมูลขนาดเล็กถึงกลาง

4. Zapier

  • ประเภท: เครื่องมือเชื่อมต่อและอัตโนมัติกระบวนการทำงานระหว่างแอปต่างๆ
  • จุดเด่น: เชื่อมต่อแอปได้มากกว่า 3,000 แอป ช่วยอัตโนมัติงานที่ทำซ้ำๆ
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเชื่อมต่อและอัตโนมัติกระบวนการทำงานระหว่างแอปต่างๆ

5. Adalo

  • ประเภท: แพลตฟอร์มสร้างแอปพลิเคชันมือถือ
  • จุดเด่น: สร้างแอปมือถือได้ทั้ง iOS และ Android โดยไม่ต้องเขียนโค้ด
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันมือถือแบบ native โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

เครื่องมือ Low-Code ยอดนิยม

8.2 เครื่องมือและแพลตฟอร์มสำหรับจัด Webinar.webp

เครื่องมือ Low-Code ต่อไปนี้อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

1. OutSystems

  • ประเภท: แพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันแบบครบวงจร
  • จุดเด่น: สร้างแอปได้ทั้งเว็บและมือถือ มีเครื่องมือสำหรับการพัฒนาระดับองค์กร
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนาแอปที่ซับซ้อนและมีความปลอดภัยสูง

2. Mendix

  • ประเภท: แพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Low-Code
  • จุดเด่น: มีเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างทีม รองรับการพัฒนาแบบ Agile
  • เหมาะสำหรับ: ทีมพัฒนาที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันระดับองค์กรอย่างรวดเร็ว

3. Microsoft Power Apps

  • ประเภท: แพลตฟอร์มสร้างแอปพลิเคชันสำหรับองค์กร
  • จุดเด่น: เชื่อมต่อกับระบบนิเวศของ Microsoft ได้ดี ใช้งานง่ายสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับ Microsoft Office
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรที่ใช้งาน Microsoft 365 และต้องการสร้างแอปภายในองค์กร

4. Appian

  • ประเภท: แพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันและระบบอัตโนมัติ
  • จุดเด่น: เน้นการสร้างแอปสำหรับกระบวนการทางธุรกิจ มีเครื่องมือสำหรับ RPA และ AI
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจและสร้างระบบอัตโนมัติ

5. Salesforce Lightning

  • ประเภท: แพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบนิเวศของ Salesforce
  • จุดเด่น: เชื่อมต่อกับระบบ CRM ของ Salesforce ได้อย่างไร้รอยต่อ มีคอมโพเนนต์สำเร็จรูปจำนวนมาก
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรที่ใช้งาน Salesforce และต้องการพัฒนาแอปเพิ่มเติมบนแพลตฟอร์มนี้

ข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้ No-Code หรือ Low-Code

การตัดสินใจว่าจะใช้ No-Code, Low-Code หรือการพัฒนาแบบดั้งเดิม ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรพิจารณา

  1. ความซับซ้อนของโปรเจ็กต์
    • โปรเจ็กต์ที่ไม่ซับซ้อนมากอาจเหมาะกับ No-Code
    • โปรเจ็กต์ที่ต้องการการปรับแต่งเฉพาะทางอาจเหมาะกับ Low-Code หรือการพัฒนาแบบดั้งเดิม
  2. ทักษะของทีม
    • ทีมที่ไม่มีทักษะการเขียนโค้ดอาจเหมาะกับ No-Code
    • ทีมที่มีทักษะการเขียนโค้ดบ้างอาจเหมาะกับ Low-Code
  3. ระยะเวลาและงบประมาณ
    • หากคาดว่าจะต้องขยายระบบอย่างมากในอนาคต การพัฒนาแบบดั้งเดิมอาจเหมาะสมกว่า
    • สำหรับแอปที่ไม่ต้องการการขยายระบบมาก No-Code หรือ Low-Code อาจเพียงพอ
  4. ความต้องการด้านการขยายระบบในอนาคต
    • หากคาดว่าจะต้องขยายระบบอย่างมากในอนาคต การพัฒนาแบบดั้งเดิมอาจเหมาะสมกว่า
    • สำหรับแอปที่ไม่ต้องการการขยายระบบมาก No-Code หรือ Low-Code อาจเพียงพอ
  5. ความต้องการด้านการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
    • องค์กรที่มีความต้องการด้านความปลอดภัยสูงอาจต้องพิจารณาเลือก Low-Code หรือการพัฒนาแบบดั้งเดิม
    • สำหรับโปรเจ็กต์ทั่วไปที่ไม่มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยพิเศษ No-Code อาจเพียงพอ

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ No-Code และ Low-Code

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ No-Code และ Low-Code มีดังต่อไปนี้

ข้อดี:

  1. พัฒนาได้เร็วขึ้น: ลดเวลาในการพัฒนาจากเดือนเหลือเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์
  2. ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดความจำเป็นในการจ้างนักพัฒนามืออาชีพ
  3. เพิ่มความคล่องตัวให้องค์กร: สามารถปรับเปลี่ยนและอัพเดตแอปได้อย่างรวดเร็ว
  4. ลดภาระของทีมไอที: ช่วยให้ฝ่ายอื่นๆ สามารถสร้างโซลูชันได้เองโดยไม่ต้องพึ่งทีมไอทีเสมอ
  5. ลดความซับซ้อนในการบำรุงรักษา: แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ดูแลเรื่องการอัพเดตและบำรุงรักษาให้

ข้อเสีย:

  1. ข้อจำกัดด้านการปรับแต่ง: อาจไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ
  2. การพึ่งพาแพลตฟอร์ม: อาจมีปัญหาในการย้ายข้อมูลหรือแอปไปยังแพลตฟอร์มอื่น
  3. ประสิทธิภาพ: แอปที่สร้างด้วย No-Code หรือ Low-Code อาจมีประสิทธิภาพด้อยกว่าแอปที่เขียนโค้ดทั้งหมด
  4. ความปลอดภัย: อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากแพลตฟอร์มไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
  5. ค่าใช้จ่ายในระยะยาว: บางแพลตฟอร์มอาจมีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อใช้งานในระยะยาวหรือเมื่อต้องการขยายระบบ

อนาคตของ No-Code และ Low-Code

No-Code และ Low-Code กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในอนาคต ต่อไปนี้เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจ

  1. การบูรณาการกับ AI และ Machine Learning: เราอาจเห็นการพัฒนาของเครื่องมือ No-Code และ Low-Code ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปที่ใช้ AI และ Machine Learning ได้ง่ายขึ้น
  2. การพัฒนาแอปพลิเคชัน IoT: เครื่องมือ No-Code และ Low-Code อาจขยายขอบเขตไปสู่การพัฒนาแอปสำหรับอุปกรณ์ IoT
  3. การเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น: แพลตฟอร์มจะพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการสร้างแอปที่ซับซ้อนมากขึ้น
  4. การผสมผสานกับการพัฒนาแบบดั้งเดิม: อาจเห็นการพัฒนาเครื่องมือที่ผสมผสานระหว่าง No-Code, Low-Code และการเขียนโค้ดแบบดั้งเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ
  5. การเน้นความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ: แพลตฟอร์มจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบมากขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่

บทสรุป

No-Code และ Low-Code เป็นเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ ช่วยให้การสร้างแอปพลิเคชันและเว็บไซต์เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ ไม่ใช่เพียงแค่นักพัฒนามืออาชีพเท่านั้น ด้วยความสามารถในการพัฒนาที่รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย และยืดหยุ่น No-Code และ Low-Code จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรและบุคคลที่ต้องการสร้างโซลูชันดิจิทัลอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ No-Code, Low-Code หรือการพัฒนาแบบดั้งเดิมขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของแต่ละโปรเจ็กต์ ทักษะของทีม และเป้าหมายระยะยาวขององค์กร การทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี รวมถึงการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่

ในอนาคต เราอาจเห็นการพัฒนาของ No-Code และ Low-Code ที่มีความสามารถมากขึ้น ผสมผสานกับเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่นๆ และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัลในองค์กรต่างๆ ทั่วโลก ผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีความได้เปรียบในการแข่ง

Related News

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ