No-Code และ Low-Code คืออะไร พร้อมแจกเครื่องมือการใช้งาน

ANGA Mastery

14 AUGUST 24

59

การพัฒนาแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ในทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องของนักพัฒนาซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป No-Code และ Low-Code เป็นแนวคิดและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างโซลูชันดิจิทัล ทำให้ผู้ที่ไม่มีทักษะการเขียนโค้ดสามารถสร้างแอปและเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ No-Code และ Low-Code อย่างละเอียด พร้อมแนะนำเครื่องมือยอดนิยมที่คุณสามารถใช้งานได้ทันที ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการ นักการตลาด หรือผู้ที่สนใจในเทคโนโลยี บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถนำ No-Code และ Low-Code ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

No-Code คืออะไร?

7.1 No-Code คืออะไร.webp

No-Code เป็นแนวทางการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใดๆ เลย โดยใช้อินเตอร์เฟซแบบกราฟิกและเครื่องมือที่ใช้งานง่าย

ลักษณะเด่นของ No-Code

  1. ใช้งานง่าย: ผู้ใช้สามารถสร้างแอปได้โดยใช้การลากและวาง (drag-and-drop) หรือการตั้งค่าผ่านหน้าจอที่ใช้งานง่าย
  2. รวดเร็ว: สามารถสร้างแอปหรือเว็บไซต์ได้ในเวลาอันสั้น
  3. ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดความจำเป็นในการจ้างนักพัฒนามืออาชีพ
  4. ยืดหยุ่น: สามารถปรับเปลี่ยนและอัพเดตได้ง่าย

ข้อจำกัดของ No-Code

  1. ความสามารถจำกัด: อาจไม่รองรับฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อนมากๆ
  2. การปรับแต่งมีข้อจำกัด: อาจไม่สามารถปรับแต่งทุกอย่างได้ตามต้องการ
  3. การพึ่งพาแพลตฟอร์ม: อาจมีข้อจำกัดในการย้ายข้อมูลหรือแอปไปยังแพลตฟอร์มอื่น

Low-Code คืออะไร?

7.2 Low-Code คืออะไร.webp

Low-Code เป็นแนวทางการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยลดความจำเป็นในการเขียนโค้ดด้วยมือ โดยใช้อินเตอร์เฟซแบบกราฟิกและการกำหนดค่าล่วงหน้า แต่ยังคงเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดเพิ่มเติมได้เมื่อต้องการฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อน

ลักษณะเด่นของ Low-Code

  1. พัฒนาได้เร็วขึ้น: ลดเวลาในการพัฒนาโดยใช้คอมโพเนนต์สำเร็จรูปและเทมเพลต
  2. ยืดหยุ่นสูง: สามารถปรับแต่งและเพิ่มฟังก์ชันเฉพาะทางได้
  3. ลดความซับซ้อน: ช่วยให้นักพัฒนามือใหม่สามารถสร้างแอปที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น
  4. ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดเวลาและทรัพยากรในการพัฒนา

ข้อจำกัดของ Low-Code

  1. ต้องการความรู้พื้นฐานด้านการเขียนโค้ด: ผู้ใช้ยังต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม
  2. อาจมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ: แอปที่สร้างด้วย Low-Code อาจมีประสิทธิภาพด้อยกว่าแอปที่เขียนโค้ดทั้งหมดด้วยมือ
  3. การพึ่งพาแพลตฟอร์ม: อาจมีข้อจำกัดในการย้ายโปรเจ็กต์ไปยังแพลตฟอร์มอื่น

เปรียบเทียบ No-Code และ Low-Code

เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง No-Code และ Low-Code ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มาดูการเปรียบเทียบในประเด็นต่างๆ กัน

  1. ความซับซ้อนของการใช้งาน
    • No-Code: ใช้งานง่ายที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ด
    • Low-Code: ต้องการความรู้พื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรม เหมาะสำหรับนักพัฒนามือใหม่หรือผู้ที่มีความรู้ด้านไอทีบ้าง
  2. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง
    • No-Code: มีข้อจำกัดในการปรับแต่ง ต้องทำงานภายใต้เทมเพลตและฟังก์ชันที่มีให้
    • Low-Code: มีความยืดหยุ่นสูงกว่า สามารถเพิ่มโค้ดเองได้เมื่อต้องการฟังก์ชันเฉพาะทาง
  3. ประเภทของแอปพลิเคชันที่สร้างได้
    • No-Code: เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันทั่วไป เช่น เว็บไซต์ แอปจัดการข้อมูลพื้นฐาน
    • Low-Code: สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนขึ้นได้ รวมถึงแอปสำหรับองค์กรขนาดใหญ่
  4. เวลาในการพัฒนา
    • No-Code: พัฒนาได้เร็วที่สุด สามารถสร้างแอปพื้นฐานได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือวัน
    • Low-Code: พัฒนาได้เร็วกว่าการเขียนโค้ดทั้งหมด แต่อาจใช้เวลามากกว่า No-Code เล็กน้อย
  5. การบำรุงรักษาและอัพเดต
    • No-Code: ง่ายต่อการบำรุงรักษาและอัพเดต สามารถทำได้โดยผู้ใช้ทั่วไป
    • Low-Code: ต้องการความรู้ทางเทคนิคบ้างในการบำรุงรักษาและอัพเดต โดยเฉพาะส่วนที่มีการเพิ่มโค้ดเอง

เครื่องมือ No-Code ยอดนิยม

7.3 เครื่องมือ No-Code ยอดนิยม.webp

ต่อไปนี้คือเครื่องมือ No-Code ที่ได้รับความนิยมและคุณสามารถเริ่มใช้งานได้ทันที

1. Bubble

  • ประเภท: แพลตฟอร์มสร้างเว็บแอปพลิเคชันแบบครบวงจร
  • จุดเด่น: สร้างแอปที่ซับซ้อนได้ มีความยืดหยุ่นสูง รองรับการทำงานแบบ responsive
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันเว็บที่มีฟังก์ชันการทำงานหลากหลาย

2. Webflow

  • ประเภท: เครื่องมือสร้างเว็บไซต์และ CMS
  • จุดเด่น: ออกแบบเว็บไซต์ที่สวยงามและมีความเป็นมืออาชีพ รองรับ responsive design
  • เหมาะสำหรับ: นักออกแบบเว็บไซต์ และผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่มีดีไซน์โดดเด่น

3. Airtable

  • ประเภท: ฐานข้อมูลและเครื่องมือจัดการข้อมูลแบบ visual
  • จุดเด่น: ยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย เชื่อมต่อกับแอปอื่นๆ ได้ง่าย
  • เหมาะสำหรับ: การจัดการโปรเจ็กต์ การทำ CRM อย่างง่าย หรือการจัดการฐานข้อมูลขนาดเล็กถึงกลาง

4. Zapier

  • ประเภท: เครื่องมือเชื่อมต่อและอัตโนมัติกระบวนการทำงานระหว่างแอปต่างๆ
  • จุดเด่น: เชื่อมต่อแอปได้มากกว่า 3,000 แอป ช่วยอัตโนมัติงานที่ทำซ้ำๆ
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเชื่อมต่อและอัตโนมัติกระบวนการทำงานระหว่างแอปต่างๆ

5. Adalo

  • ประเภท: แพลตฟอร์มสร้างแอปพลิเคชันมือถือ
  • จุดเด่น: สร้างแอปมือถือได้ทั้ง iOS และ Android โดยไม่ต้องเขียนโค้ด
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันมือถือแบบ native โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

เครื่องมือ Low-Code ยอดนิยม

8.2 เครื่องมือและแพลตฟอร์มสำหรับจัด Webinar.webp

เครื่องมือ Low-Code ต่อไปนี้อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

1. OutSystems

  • ประเภท: แพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันแบบครบวงจร
  • จุดเด่น: สร้างแอปได้ทั้งเว็บและมือถือ มีเครื่องมือสำหรับการพัฒนาระดับองค์กร
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนาแอปที่ซับซ้อนและมีความปลอดภัยสูง

2. Mendix

  • ประเภท: แพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Low-Code
  • จุดเด่น: มีเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างทีม รองรับการพัฒนาแบบ Agile
  • เหมาะสำหรับ: ทีมพัฒนาที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันระดับองค์กรอย่างรวดเร็ว

3. Microsoft Power Apps

  • ประเภท: แพลตฟอร์มสร้างแอปพลิเคชันสำหรับองค์กร
  • จุดเด่น: เชื่อมต่อกับระบบนิเวศของ Microsoft ได้ดี ใช้งานง่ายสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับ Microsoft Office
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรที่ใช้งาน Microsoft 365 และต้องการสร้างแอปภายในองค์กร

4. Appian

  • ประเภท: แพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันและระบบอัตโนมัติ
  • จุดเด่น: เน้นการสร้างแอปสำหรับกระบวนการทางธุรกิจ มีเครื่องมือสำหรับ RPA และ AI
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจและสร้างระบบอัตโนมัติ

5. Salesforce Lightning

  • ประเภท: แพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบนิเวศของ Salesforce
  • จุดเด่น: เชื่อมต่อกับระบบ CRM ของ Salesforce ได้อย่างไร้รอยต่อ มีคอมโพเนนต์สำเร็จรูปจำนวนมาก
  • เหมาะสำหรับ: องค์กรที่ใช้งาน Salesforce และต้องการพัฒนาแอปเพิ่มเติมบนแพลตฟอร์มนี้

ข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้ No-Code หรือ Low-Code

การตัดสินใจว่าจะใช้ No-Code, Low-Code หรือการพัฒนาแบบดั้งเดิม ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรพิจารณา

  1. ความซับซ้อนของโปรเจ็กต์
    • โปรเจ็กต์ที่ไม่ซับซ้อนมากอาจเหมาะกับ No-Code
    • โปรเจ็กต์ที่ต้องการการปรับแต่งเฉพาะทางอาจเหมาะกับ Low-Code หรือการพัฒนาแบบดั้งเดิม
  2. ทักษะของทีม
    • ทีมที่ไม่มีทักษะการเขียนโค้ดอาจเหมาะกับ No-Code
    • ทีมที่มีทักษะการเขียนโค้ดบ้างอาจเหมาะกับ Low-Code
  3. ระยะเวลาและงบประมาณ
    • หากคาดว่าจะต้องขยายระบบอย่างมากในอนาคต การพัฒนาแบบดั้งเดิมอาจเหมาะสมกว่า
    • สำหรับแอปที่ไม่ต้องการการขยายระบบมาก No-Code หรือ Low-Code อาจเพียงพอ
  4. ความต้องการด้านการขยายระบบในอนาคต
    • หากคาดว่าจะต้องขยายระบบอย่างมากในอนาคต การพัฒนาแบบดั้งเดิมอาจเหมาะสมกว่า
    • สำหรับแอปที่ไม่ต้องการการขยายระบบมาก No-Code หรือ Low-Code อาจเพียงพอ
  5. ความต้องการด้านการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
    • องค์กรที่มีความต้องการด้านความปลอดภัยสูงอาจต้องพิจารณาเลือก Low-Code หรือการพัฒนาแบบดั้งเดิม
    • สำหรับโปรเจ็กต์ทั่วไปที่ไม่มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยพิเศษ No-Code อาจเพียงพอ

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ No-Code และ Low-Code

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ No-Code และ Low-Code มีดังต่อไปนี้

ข้อดี:

  1. พัฒนาได้เร็วขึ้น: ลดเวลาในการพัฒนาจากเดือนเหลือเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์
  2. ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดความจำเป็นในการจ้างนักพัฒนามืออาชีพ
  3. เพิ่มความคล่องตัวให้องค์กร: สามารถปรับเปลี่ยนและอัพเดตแอปได้อย่างรวดเร็ว
  4. ลดภาระของทีมไอที: ช่วยให้ฝ่ายอื่นๆ สามารถสร้างโซลูชันได้เองโดยไม่ต้องพึ่งทีมไอทีเสมอ
  5. ลดความซับซ้อนในการบำรุงรักษา: แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ดูแลเรื่องการอัพเดตและบำรุงรักษาให้

ข้อเสีย:

  1. ข้อจำกัดด้านการปรับแต่ง: อาจไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ
  2. การพึ่งพาแพลตฟอร์ม: อาจมีปัญหาในการย้ายข้อมูลหรือแอปไปยังแพลตฟอร์มอื่น
  3. ประสิทธิภาพ: แอปที่สร้างด้วย No-Code หรือ Low-Code อาจมีประสิทธิภาพด้อยกว่าแอปที่เขียนโค้ดทั้งหมด
  4. ความปลอดภัย: อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากแพลตฟอร์มไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
  5. ค่าใช้จ่ายในระยะยาว: บางแพลตฟอร์มอาจมีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อใช้งานในระยะยาวหรือเมื่อต้องการขยายระบบ

อนาคตของ No-Code และ Low-Code

No-Code และ Low-Code กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในอนาคต ต่อไปนี้เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจ

  1. การบูรณาการกับ AI และ Machine Learning: เราอาจเห็นการพัฒนาของเครื่องมือ No-Code และ Low-Code ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปที่ใช้ AI และ Machine Learning ได้ง่ายขึ้น
  2. การพัฒนาแอปพลิเคชัน IoT: เครื่องมือ No-Code และ Low-Code อาจขยายขอบเขตไปสู่การพัฒนาแอปสำหรับอุปกรณ์ IoT
  3. การเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น: แพลตฟอร์มจะพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการสร้างแอปที่ซับซ้อนมากขึ้น
  4. การผสมผสานกับการพัฒนาแบบดั้งเดิม: อาจเห็นการพัฒนาเครื่องมือที่ผสมผสานระหว่าง No-Code, Low-Code และการเขียนโค้ดแบบดั้งเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ
  5. การเน้นความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ: แพลตฟอร์มจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบมากขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่

บทสรุป

No-Code และ Low-Code เป็นเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ ช่วยให้การสร้างแอปพลิเคชันและเว็บไซต์เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ ไม่ใช่เพียงแค่นักพัฒนามืออาชีพเท่านั้น ด้วยความสามารถในการพัฒนาที่รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย และยืดหยุ่น No-Code และ Low-Code จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรและบุคคลที่ต้องการสร้างโซลูชันดิจิทัลอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ No-Code, Low-Code หรือการพัฒนาแบบดั้งเดิมขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของแต่ละโปรเจ็กต์ ทักษะของทีม และเป้าหมายระยะยาวขององค์กร การทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี รวมถึงการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่

ในอนาคต เราอาจเห็นการพัฒนาของ No-Code และ Low-Code ที่มีความสามารถมากขึ้น ผสมผสานกับเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่นๆ และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัลในองค์กรต่างๆ ทั่วโลก ผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีความได้เปรียบในการแข่ง


Related News

รู้จักศิลปะการสั่งงาน มอบหมายงาน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

เรียนรู้เทคนิคการสั่งงานและมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มผลผลิตและสร้างทีมที่แข็งแกร่ง พร้อมตัวอย่างและวิธีปฏิบัติ

5 เทคนิคการจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ให้ประสบความสำเร็จ

เรียนรู้ 5 เทคนิคการจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ให้ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่การวางแผน การเตรียมเนื้อหา ไปจนถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าร่วม

No-Code และ Low-Code คืออะไร พร้อมแจกเครื่องมือการใช้งาน

ทำความรู้จัก No-Code และ Low-Code เทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณสร้างแอปและเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด พร้อมแนะนำเครื่องมือยอดนิยม

รู้จักศิลปะการสั่งงาน มอบหมายงาน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

เรียนรู้เทคนิคการสั่งงานและมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มผลผลิตและสร้างทีมที่แข็งแกร่ง พร้อมตัวอย่างและวิธีปฏิบัติ

5 เทคนิคการจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ให้ประสบความสำเร็จ

เรียนรู้ 5 เทคนิคการจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ให้ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่การวางแผน การเตรียมเนื้อหา ไปจนถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าร่วม

No-Code และ Low-Code คืออะไร พร้อมแจกเครื่องมือการใช้งาน

ทำความรู้จัก No-Code และ Low-Code เทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณสร้างแอปและเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด พร้อมแนะนำเครื่องมือยอดนิยม

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมอทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ