แนะนำ วิธีการทำงานเป็นทีม บริหารความขัดแย้ง ที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกใช้

ANGA Mastery

13 AUGUST 24

186

การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพและการบริหารความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงแค่ทักษะที่ดีที่ควรมี แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน องค์กรชั้นนำระดับโลกต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะเหล่านี้และมีวิธีการที่เป็นเอกลักษณ์ในการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม บทความนี้ ANGA Mastery จะนำเสนอวิธีการและเทคนิคที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกใช้ในการพัฒนาการทำงานเป็นทีมและจัดการกับความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ทำให้วิธีการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ รวมถึงแนวทางในการนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรของคุณ

ความสำคัญของการทำงานเป็นทีมและการบริหารความขัดแย้ง

ก่อนที่จะเจาะลึกถึงวิธีการต่างๆ ที่องค์กรชั้นนำใช้ เราควรทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการทำงานเป็นทีมและการบริหารความขัดแย้งในบริบทขององค์กรสมัยใหม่ ด้วยเหตุผลหลักดังนี้

  1. เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต : การรวมทักษะที่หลากหลายช่วยสร้างผลงานคุณภาพสูง ลดการทำงานซ้ำซ้อน และเพิ่มความเร็วในการทำงาน
  2. ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม : การแลกเปลี่ยนมุมมองที่แตกต่างนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และการพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ
  3. เพิ่มความผูกพันของพนักงาน : การทำงานเป็นทีมสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เพิ่มแรงจูงใจ และความพึงพอใจในงาน
  4. พัฒนาทักษะสำคัญ : สมาชิกในทีมได้พัฒนาทักษะการสื่อสาร การแก้ปัญหา และภาวะผู้นำ
  5. รักษาบรรยากาศการทำงานที่ดี : การบริหารความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นบวก
  6. ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาองค์กร : การจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์นำไปสู่การเรียนรู้และการพัฒนาทักษะสำคัญ
  7. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง : การเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นและนวัตกรรม

วิธีการทำงานเป็นทีมที่องค์กรชั้นนำใช้

วิธีการทำงานเป็นทีมที่องค์กรชั้นนำใช้

องค์กรชั้นนำระดับโลกได้พัฒนาและนำวิธีการที่เป็นนวัตกรรมมาใช้ในการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ซึ่งมีวิธีการที่น่าสนใจอยู่หลายข้อ ดังต่อไปนี้

1. การสร้างเป้าหมายร่วมกัน

Google เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีชื่อเสียงในการใช้ระบบ OKRs (Objectives and Key Results) เพื่อสร้างเป้าหมายร่วมกันทั่วทั้งองค์กร วิธีการนี้ช่วยให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจทิศทางและเป้าหมายร่วมกัน และสามารถเห็นว่างานของตนเองมีส่วนช่วยในการบรรลุเป้าหมายขององค์กรอย่างไร

วิธีการของ Google ประกอบด้วย

  1. กำหนดวัตถุประสงค์ที่ท้าทายแต่เป็นไปได้ : องค์กรกำหนดเป้าหมายระดับสูงที่ต้องการบรรลุภายในระยะเวลาที่กำหนด เป้าหมายเหล่านี้ควรมีความท้าทายเพื่อกระตุ้นให้ทีมคิดนอกกรอบและพยายามอย่างเต็มที่
  2. ระบุผลลัพธ์หลักที่วัดผลได้ : สำหรับแต่ละวัตถุประสงค์ จะมีการกำหนดผลลัพธ์หลักที่สามารถวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของวัตถุประสงค์นั้นๆ
  3. เชื่อมโยงเป้าหมายของทีมกับเป้าหมายขององค์กร : แต่ละทีมและแผนกจะกำหนด OKRs ของตนเองที่สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายระดับองค์กร ทำให้ทุกคนเห็นภาพรวมว่างานของตนเองมีส่วนช่วยในความสำเร็จขององค์กรอย่างไร
  4. ทบทวนและปรับปรุงเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ : OKRs มักจะถูกกำหนดเป็นรายไตรมาสหรือรายปี และมีการทบทวนความคืบหน้าเป็นประจำ ทำให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

การใช้ OKRs ช่วยให้ Google สามารถรักษาวัฒนธรรมนวัตกรรมและการเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าองค์กรจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก เนื่องจากพนักงานทุกคนเข้าใจเป้าหมายร่วมกันและเห็นว่างานของตนเองมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร

2. การส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้าง

Zappos เป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่เปิดกว้างและโปร่งใส บริษัทใช้นโยบาย "Open-Book Management" เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของพนักงาน วิธีการนี้ช่วยสร้างความไว้วางใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกันในหมู่พนักงาน

วิธีการของ Zappos ประกอบด้วย

  1. จัดประชุมทีมประจำสัปดาห์เพื่อแบ่งปันข้อมูลสำคัญ : ทุกทีมจะมีการประชุมสั้นๆ ทุกสัปดาห์เพื่อแบ่งปันความคืบหน้า ปัญหาที่เผชิญ และแผนงานในอนาคต การประชุมเหล่านี้เปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะวิธีแก้ปัญหา
  2. ใช้แพลตฟอร์มการสื่อสารภายในที่ทุกคนเข้าถึงได้ : Zappos ใช้ระบบอินทราเน็ตที่ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รายงานทางการเงิน แผนกลยุทธ์ และข่าวสารล่าสุดขององค์กร ทำให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าใจทิศทางขององค์กร
  3. ส่งเสริมวัฒนธรรมการให้และรับฟีดแบ็คอย่างสร้างสรรค์ : พนักงานทุกระดับได้รับการสนับสนุนให้แสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะอย่างตรงไปตรงมา แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
  4. จัดกิจกรรม Town Hall เพื่อให้ผู้บริหารตอบคำถามพนักงานโดยตรง : Zappos จัดกิจกรรม Town Hall เป็นประจำ โดยผู้บริหารระดับสูงจะมาตอบคำถามและรับฟังข้อเสนอแนะจากพนักงานโดยตรง ทำให้เกิดการสื่อสารแบบสองทางระหว่างผู้บริหารและพนักงาน

การส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้างเช่นนี้ช่วยให้ Zappos สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง มีความไว้วางใจสูง และสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด นอกจากนี้ยังช่วยให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและมีส่วนร่วมในความสำเร็จขององค์กร ซึ่งส่งผลให้ Zappos มีอัตราการรักษาพนักงานที่สูงและได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ทำงานที่ดีที่สุด

3. การสร้างความไว้วางใจในทีม

Microsoft ภายใต้การนำของ Satya Nadella ได้นำแนวคิด "Growth Mindset" มาใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และความไว้วางใจในทีม แนวคิดนี้เน้นการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการเรียนรู้จากความผิดพลาด และการเปิดรับความคิดใหม่ๆ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศของความไว้วางใจและการร่วมมือกันในทีม

วิธีการของ Microsoft ประกอบด้วย

  1. ส่งเสริมการทดลองและการเรียนรู้จากความผิดพลาด : Microsoft สนับสนุนให้พนักงานกล้าที่จะทดลองแนวคิดใหม่ๆ และมองว่าความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัวหรือหลีกเลี่ยง วัฒนธรรมนี้ช่วยสร้างความกล้าในการแสดงความคิดเห็นและนำเสนอไอเดียใหม่ๆ
  2. จัดกิจกรรม Team Building สม่ำเสมอ : บริษัทจัดกิจกรรมสร้างทีมอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในรูปแบบของการทำงานร่วมกันนอกสถานที่ การทำกิจกรรมอาสาสมัคร หรือการแข่งขันภายในที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม กิจกรรมเหล่านี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในทีมและเสริมสร้างความไว้วางใจ
  3. ให้อิสระในการตัดสินใจแก่ทีม : Microsoft เชื่อในการกระจายอำนาจการตัดสินใจให้กับทีม โดยให้ทีมมีอิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการทำงานและการแก้ปัญหา ตราบใดที่สอดคล้องกับเป้าหมายรวมขององค์กร การให้ความไว้วางใจเช่นนี้ช่วยเพิ่มความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบในทีม
  4. ยกย่องและให้รางวัลกับความพยายามและการพัฒนา ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ : บริษัทมีระบบการให้รางวัลที่ไม่เพียงแต่พิจารณาผลลัพธ์สุดท้ายเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการ การเรียนรู้ และการพัฒนาตนเองของพนักงานด้วย วิธีนี้ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การนำแนวคิด Growth Mindset มาใช้ช่วยให้ Microsoft สามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรจาก "Know-it-all" เป็น "Learn-it-all" ซึ่งส่งผลให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็น ทดลองสิ่งใหม่ๆ และเรียนรู้จากความผิดพลาด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างนวัตกรรมและการเติบโตอย่างยั่งยืน

4. การใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการทำงานร่วมกัน

Spotify เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในการใช้เทคโนโลยีและโครงสร้างองค์กรที่ยืดหยุ่นเพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกัน บริษัทใช้โมเดลที่เรียกว่า "Squads, Tribes, Chapters, and Guilds" ร่วมกับเทคโนโลยีการทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม

วิธีการของ Spotify ประกอบด้วย

  1. ใช้เครื่องมือการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ : Spotify ใช้แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันเช่น Slack และ Trello เพื่อให้ทีมสามารถสื่อสารและแบ่งปันข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยลดอุปสรรคในการสื่อสารและส่งเสริมการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ แม้ว่าทีมจะอยู่ต่างสถานที่กัน
  2. สร้างระบบการจัดการความรู้ที่ทุกคนเข้าถึงได้ : บริษัทมีระบบการจัดการความรู้แบบเปิด ที่พนักงานทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการสร้างเนื้อหาได้ ระบบนี้ช่วยให้ความรู้และข้อมูลสำคัญถูกแบ่งปันทั่วทั้งองค์กร ลดการทำงานซ้ำซ้อน และส่งเสริมการเรียนรู้ข้ามทีม
  3. ใช้ซอฟต์แวร์บริหารโครงการที่เน้นความยืดหยุ่น : Spotify ใช้เครื่องมือบริหารโครงการแบบ Agile เช่น JIRA เพื่อติดตามความคืบหน้าของงานและโครงการต่างๆ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ทีมสามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และช่วยให้ทุกคนเห็นภาพรวมของงานทั้งหมด
  4. จัดให้มีพื้นที่ทำงานร่วมกันทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ : นอกจากพื้นที่ทำงานร่วมกันแบบออนไลน์แล้ว Spotify ยังออกแบบพื้นที่ทำงานจริงให้เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน มีพื้นที่โล่งสำหรับการประชุมแบบไม่เป็นทางการ และพื้นที่สำหรับการทำงานแบบ Focused Work ทำให้พนักงานสามารถเลือกสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับลักษณะงานได้

ใช้โครงสร้างองค์กรแบบ Squads, Tribes, Chapters, and Guilds : โครงสร้างนี้ช่วยให้ Spotify สามารถรักษาความคล่องตัวและนวัตกรรมแม้ว่าองค์กรจะเติบโตขึ้น โดย

  • Squads: ทีมเล็กๆ ที่ทำงานเหมือน startup ภายในองค์กร มุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์หรือฟีเจอร์เฉพาะ
  • Tribes: กลุ่มของ Squads ที่ทำงานในด้านที่เกี่ยวข้องกัน
  • Chapters: กลุ่มคนที่มีทักษะเฉพาะทางเดียวกันที่ทำงานข้าม Squads
  • Guilds: ชุมชนความสนใจที่คนจากทั่วทั้งองค์กรสามารถเข้าร่วมได้

โมเดลนี้ช่วยให้ Spotify สามารถรักษาความยืดหยุ่นและความคล่องตัวแม้ว่าบริษัทจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยส่งเสริมการทำงานข้ามสายงาน การแบ่งปันความรู้ และการสร้างนวัตกรรม ทำให้ Spotify สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาวัฒนธรรมการทำงานแบบ Startup แม้ว่าจะเติบโตเป็นบริษัทขนาดใหญ่

วิธีการบริหารความขัดแย้งที่องค์กรชั้นนำใช้

การบริหารความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพเป็นทักษะสำคัญที่องค์กรชั้นนำให้ความสำคัญ เนื่องจากความขัดแย้งเป็นส่วนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการทำงานร่วมกัน ต่อไปนี้คือวิธีการที่องค์กรชั้นนำใช้ในการบริหารความขัดแย้ง เราสามารถสรุปแนวทางสำคัญในการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ ดังนี้

  1. สร้างวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกัน : ใช้เครื่องมือเช่น OKRs เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจและมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
  2. ส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้างและโปร่งใส : สร้างช่องทางการสื่อสารที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
  3. พัฒนาวัฒนธรรมการเรียนรู้และความไว้วางใจ : ส่งเสริม Growth Mindset และให้อิสระในการตัดสินใจแก่ทีม
  4. ใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการทำงานร่วมกัน : นำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการสื่อสารในทีม
  5. สร้างกระบวนการจัดการความขัดแย้งที่สร้างสรรค์ : ฝึกอบรมพนักงานในการจัดการความขัดแย้งและส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์

สรุปการนำวิธีการทำงานเป็นทีมและบริหารความขัดแย้งไปใช้

การนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ต้องคำนึงถึงบริบทและวัฒนธรรมขององค์กรเป็นสำคัญ ไม่มีวิธีการใดที่เหมาะสมกับทุกองค์กร ดังนั้น ผู้นำควรเลือกและปรับใช้วิธีการที่เหมาะสมกับองค์กรของตน และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ท้ายที่สุด การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพและการบริหารความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ไม่ใช่เป้าหมายปลายทาง แต่เป็นกระบวนการที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง องค์กรที่ประสบความสำเร็จคือองค์กรที่สามารถสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ การปรับตัว และการร่วมมือกัน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการรับมือกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจได้

 

Related News

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

คู่มือการทำ Schema Markup บน WordPress ฉบับสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Wordpress schema markup เป็นทักษะที่ SEO Specialist ควรเชี่ยวชาญ ในบทความนี้ เราจะสอนการลงมือทำแบบละเอียดโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์

แชร์ 10 เทคนิคทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ เร่งยอดขาย 2025

ธุรกิจจะอยู่รอดต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ ยอดขายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณมียอดขายสูงพอ มันก็จะครอบคลุมในส่วนของเงินทุนที่เสียไปในตอนแรกและได้ทั้งกำไรที่จะต่อยอดธุรกิจต่อไป ซึ่งแบรนด์อย่างเรา ๆ ก็ต้องพยายามกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องมีสิ่งนี้ และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นในท้ายที่สุด ผ่านการพูดโน้มน้าวใจโฆษณาสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ อาทิ TikTok, Facebook หรือ Website ด้วยเหตุนี้การโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ จึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงกระตุ้นความต้องการแล้วจบไปเท่านั้น แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิด Conversion ขึ้นจริง มาทำความเข้าใจเรื่องโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ พร้อมดูตัวอย่างการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจจากแบรนด์ต่าง ๆ กับ ANGA Mastery ได้ที่นี่เลย

Google My Business คือเครื่องมือสำคัญ ที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องหันมาพึ่งพาการทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือข้อมูลบนโลกออนไลน์ เป็นที่รู้จักและเติบโตได้เร็วกว่าธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย ยิ่งธุรกิจใดมีการปักหมุดแผนที่ลงไปใน Google Maps และใส่ข้อมูลรายละเอียดของธุรกิจอย่างครบครันด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในวันนี้ ANGA Mastery จะมาแนะนำให้คุณรู้จักว่า Google My Business คืออะไร บอกได้เลยว่าสิ่งนี้ช่วยธุรกิจของคุณได้มาก ทั้งธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ดี หรือธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านก็ตาม อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการทำ SEO พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Local SEO ให้กับธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

logo

ติดต่อเรา

ANGA Mastery คือแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ด้านการตลาดในยุคดิจิตอล ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเอเจนซีชั้นนำที่เคยลงมือทำจริง เรียนรู้เทคนิคที่ใช้ได้ผลจริง และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที เหมาะสำหรับ ผู้บริหารองค์กร เช่น CEO, MD, VP, ผู้บริหารระดับสูง นักการตลาดระดับสูง เช่น Marketing Manager และ เจ้าของธุรกิจ