พฤติกรรมผู้อ่านยุคใหม่ อ่านน้อยลง เริ่มแสกนมากขึ้น

ANGA Mastery

13 AUGUST 24

31

คุณรู้ตัวไหมว่า? ทุกวันนี้พฤติกรรมการอ่านของคุณเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เคยอ่านอย่างละเอียดและลึกซึ้ง กลายเป็นการแสกนหาข้อมูลอย่างรวดเร็วและเลือกเฉพาะส่วนที่สนใจ ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อวิธีการที่ผู้คนบริโภคข้อมูล แต่ยังท้าทายนักเขียน นักการตลาดเนื้อหา และผู้ผลิตสื่อทุกแขนงให้ต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อ่านยุคใหม่ บทความนี้ ANGA Mastery จะพาคุณไปสำรวจพฤติกรรมการอ่านยุคใหม่อย่างลึกซึ้ง


ทำไมคนยุคใหม่ถึงอ่านน้อยลง?

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอ่านไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง มาทำความเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านี้ เพื่อช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม


1. ข้อมูลล้นหลาม เวลาจำกัด

ทุกวันนี้ข้อมูลมีมากมายมหาศาล แต่เวลาของเรามีจำกัด ผู้คนจำเป็นต้องคัดกรองและเลือกบริโภคเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นและน่าสนใจที่สุดเท่านั้น ทำให้การอ่านแบบละเอียดทุกบรรทัดจึงเป็นเรื่องยากและไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน

ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณในแต่ละวันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าต้องติดตามข่าวสารตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ ส่งผลให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลเกี่ยวกับการพลาดข้อมูลสำคัญ (FOMO - Fear of Missing Out) การแสกนข้อมูลจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับรู้ข้อมูลครบถ้วนในเวลาอันจำกัด


2. สมาธิสั้นลง เพราะสื่อดิจิทัล

การใช้สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการจดจ่อของมนุษย์ การรับชมวิดีโอสั้นๆ การเลื่อนดูโพสต์บนโซเชียลมีเดีย และการสลับไปมาระหว่างแอพพลิเคชั่นต่างๆ ทำให้สมองคุ้นชินกับการรับข้อมูลแบบฉับพลันและสั้นกระชับ

ผลการศึกษาจาก Microsoft ในปี 2015 พบว่า ความสามารถในการจดจ่อของมนุษย์ลดลงจาก 12 วินาทีในปี 2000 เหลือเพียง 8 วินาทีในปี 2013 ซึ่งน้อยกว่าปลาทองที่มีความสามารถในการจดจ่อ 9 วินาที แม้ว่าตัวเลขนี้อาจถูกโต้แย้งในภายหลัง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีต่อพฤติกรรมการรับรู้ข้อมูลของมนุษย์


3. ต้องการข้อมูลรวดเร็ว ทันใจ

ความเร็วของเทคโนโลยีทำให้ผู้คนคุ้นชินกับการได้ข้อมูลอย่างรวดเร็วและทันใจ การรอคอยกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับคนยุคดิจิทัล การอ่านแบบละเอียดจึงดูเป็นวิธีที่ช้าเกินไปสำหรับการรับข้อมูลในยุคปัจจุบัน

นอกจากนี้ การที่ข้อมูลสามารถอัพเดทได้ตลอดเวลาทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการอ่านอย่างละเอียดอาจเป็นการเสียเวลา เพราะข้อมูลอาจล้าสมัยได้อย่างรวดเร็ว การแสกนข้อมูลจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้พวกเขาสามารถติดตามข่าวสารและเทรนด์ล่าสุดได้อย่างทันท่วงที


พฤติกรรมการแสกนข้อมูลคืออะไร?

พฤติกรรมการแสกนข้อมูลคืออะไร

การแสกนข้อมูล (Information Scanning) คือ การอ่านแบบผ่านๆ อย่างรวดเร็ว โดยสายตาจะกวาดมองหาคำสำคัญ (Keywords) หัวข้อ (Headings) หรือประโยคที่โดดเด่น เพื่อจับใจความสำคัญของเนื้อหาโดยไม่ต้องอ่านทุกคำ วิธีนี้ช่วยให้ผู้อ่านประหยัดเวลาและได้ข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว

พฤติกรรมการแสกนข้อมูลไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการอ่านบนหน้าจอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ด้วย อย่างไรก็ตาม การออกแบบเว็บไซต์และการนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบดิจิทัลมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมและตอบสนองต่อพฤติกรรมนี้


รูปแบบการแสกนข้อมูล

นักวิจัยได้ระบุรูปแบบการแสกนข้อมูลที่พบบ่อยในการอ่านออนไลน์ ได้แก่

  • รูปแบบตัว F (F-Pattern) : ผู้อ่านจะกวาดสายตาจากซ้ายไปขวาที่ส่วนบนของหน้า จากนั้นเลื่อนลงมาอ่านบรรทัดถัดไปสั้นๆ สร้างรูปแบบคล้ายตัว F
  • รูปแบบตัว Z (Z-Pattern) : ผู้อ่านจะกวาดสายตาจากมุมบนซ้ายไปมุมบนขวา จากนั้นเฉียงลงมาทางซ้ายล่างและกวาดไปทางขวาอีกครั้ง คล้ายตัว Z
  • การกวาดตาแบบวงกลม (Layer-cake Pattern) : ผู้อ่านจะกวาดสายตาไปรอบๆ หน้าเว็บ โดยเน้นที่หัวข้อและจุดเด่นต่างๆ

ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการแสกนข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักออกแบบเว็บไซต์และนักเขียนเนื้อหา ในการจัดวางองค์ประกอบและข้อมูลสำคัญให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการอ่านของผู้ใช้


ข้อดีของการแสกนข้อมูล

  1. การแสกนข้อมูลมีข้อดีหลายประการที่ทำให้ได้รับความนิยมในยุคดิจิทัล
  2. ประหยัดเวลาในการอ่าน ผู้อ่านสามารถรับข้อมูลจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น
  3. ได้ข้อมูลสำคัญอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการตัดสินใจเร่งด่วนหรือการหาข้อมูลเฉพาะ
  4. สามารถคัดกรองเนื้อหาที่น่าสนใจได้ง่าย ช่วยให้ผู้อ่านเลือกเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ลดความเครียดจากข้อมูลล้นเกิน ช่วยจัดการกับปริมาณข้อมูลมหาศาลในชีวิตประจำวัน
  6. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องกลั่นกรองข้อมูลจำนวนมาก

ข้อเสียของการแสกนข้อมูล

แม้ว่าการแสกนข้อมูลจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียที่ควรระวัง เช่น

  1. อาจพลาดรายละเอียดสำคัญบางอย่าง เพราะการอ่านแบบผ่านๆ อาจทำให้ละเลยข้อมูลที่มีความสำคัญ
  2. อาจส่งผลต่อความเข้าใจเนื้อหาไม่ลึกซึ้งเท่าการอ่านแบบละเอียด ส่งผลต่อความเข้าใจในประเด็นที่ซับซ้อนหรือต้องการการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง
  3. การอ่านแบบรวดเร็วอาจนำไปสู่การสรุปที่ผิดพลาดหรือการเข้าใจผิดในบริบทของเนื้อหา
  4. การแสกนข้อมูลบ่อยเกินไปอาจทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลอย่างลึกซึ้งลดลง
  5. การรับข้อมูลแบบผิวเผินอาจทำให้จดจำข้อมูลได้ไม่ดีเท่าการอ่านอย่างละเอียด

วิธีปรับตัวของนักเขียนเพื่อเข้าถึงผู้อ่านยุคใหม่

วิธีปรับตัวของนักเขียนเพื่อเข้าถึงผู้อ่านยุคใหม่

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอ่านสู่การแสกนข้อมูล เป็นความท้าทายสำคัญสำหรับนักเขียนและนักการตลาดเนื้อหา การปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้อ่านยุคใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็น ต่อไปนี้คือวิธีการที่นักเขียนสามารถใช้เพื่อเข้าถึงผู้อ่านยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. เขียนแบบ Inverted Pyramid

เทคนิคการเขียนแบบปิรามิดกลับ (Inverted Pyramid) เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการสื่อสารมวลชนและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านยุคใหม่

วิธีการ

  • นำเสนอข้อมูลสำคัญที่สุดไว้ตอนต้นของบทความ
  • ใช้ย่อหน้าแรกเพื่อสรุปประเด็นหลักทั้งหมด
  • ค่อยๆ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนถัดไป

ข้อดี

  • ผู้อ่านได้ข้อมูลสำคัญทันทีแม้อ่านไม่จบ
  • เหมาะกับพฤติกรรมการแสกนข้อมูล
  • ช่วยให้ผู้อ่านตัดสินใจได้เร็วว่าต้องการอ่านต่อหรือไม่

2. ใช้หัวข้อและ Subheading อย่างมีประสิทธิภาพ

การแบ่งเนื้อหาเป็นส่วนๆ ด้วยหัวข้อและหัวข้อย่อยที่ชัดเจนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดความสนใจของผู้อ่านยุคใหม่

วิธีการ

  • ใช้หัวข้อหลัก (H1, H2) และหัวข้อย่อย (H3, H4) อย่างเป็นระบบ
  • เขียนหัวข้อให้กระชับ ตรงประเด็น และน่าสนใจ
  • ใช้คำสำคัญ (Keywords) ในหัวข้อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO

ข้อดี

  • ช่วยให้ผู้อ่านสามารถแสกนหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย
  • ทำให้เข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้รวดเร็ว
  • เพิ่มความน่าสนใจและความน่าอ่านให้กับบทความ

3. ใช้ Bullet Points และ Numbered Lists

การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบรายการ (Bullet Points) และรายการตัวเลข (Numbered Lists) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดสายตาและทำให้ข้อมูลเข้าใจง่าย

วิธีการ

  • ใช้ Bullet Points สำหรับรายการที่ไม่ต้องเรียงลำดับ
  • ใช้ Numbered Lists สำหรับขั้นตอนหรือรายการที่ต้องเรียงลำดับ
  • เขียนแต่ละข้อให้สั้น กระชับ และได้ใจความ

ข้อดี

  • ช่วยให้อ่านง่าย เข้าใจเร็ว และจดจำได้ดี
  • เหมาะสำหรับการสรุปประเด็นสำคัญหรือขั้นตอนต่างๆ
  • ดึงดูดสายตาผู้อ่านได้ดีในการแสกนข้อมูล

4. เน้นคำสำคัญด้วยตัวหนาหรือสี

การทำให้คำหรือวลีสำคัญโดดเด่นช่วยดึงดูดสายตาผู้อ่านและทำให้จับประเด็นสำคัญได้ง่ายขึ้น

วิธีการ

  • ใช้ตัวหนา (Bold) สำหรับคำหรือวลีสำคัญ
  • ใช้สีเน้นข้อความอย่างเหมาะสม (ไม่มากเกินไป)
  • ใช้ร่วมกับเทคนิคอื่นๆ เช่น การขึ้นย่อหน้าใหม่

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรใช้มากเกินไปจนรบกวนสายตา
  • เลือกใช้เฉพาะกับข้อความที่สำคัญจริงๆ

5. ใช้ภาพประกอบและ Infographic

การนำเสนอข้อมูลผ่านภาพหรือกราฟิกที่น่าสนใจช่วยดึงดูดความสนใจและอธิบายเนื้อหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้น

วิธีการ

  • ใช้ภาพประกอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
  • สร้าง Infographic สำหรับข้อมูลที่ซับซ้อนหรือมีตัวเลขมาก
  • ใช้แผนภูมิหรือไดอะแกรมเพื่ออธิบายกระบวนการหรือความสัมพันธ์

ข้อดี

  • ช่วยอธิบายเนื้อหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายและรวดเร็วขึ้น
  • เพิ่มความน่าสนใจให้กับบทความ
  • เหมาะสำหรับการแชร์บนโซเชียลมีเดีย

เทคนิคการเขียนเพื่อ SEO สำหรับผู้อ่านยุคใหม่

เทคนิคการเขียนเพื่อ SEO สำหรับผู้อ่านยุคใหม่

การเขียนเพื่อ SEO ในยุคที่ผู้อ่านนิยมแสกนข้อมูลต้องคำนึงถึงทั้งความต้องการของผู้อ่านและอัลกอริทึมของเสิร์ชเอนจิน ต่อไปนี้คือเทคนิคที่จะช่วยให้เนื้อหาของคุณติดอันดับ SEO และตอบโจทย์ผู้อ่านยุคใหม่


1. ใช้ประโยคและย่อหน้าสั้น

การเขียนประโยคสั้นๆ และแบ่งย่อหน้าให้กระชับช่วยให้อ่านง่ายและเหมาะกับการอ่านบนหน้าจอ

วิธีการ

  • เขียนประโยคที่มีความยาวไม่เกิน 20 คำ
  • แบ่งย่อหน้าให้มีความยาวประมาณ 2-3 ประโยค
  • ใช้คำเชื่อมที่เหมาะสมเพื่อให้เนื้อหาต่อเนื่อง

ข้อดี

  • เพิ่มความน่าอ่านและลดความเหนื่อยล้าของสายตา
  • เหมาะกับการอ่านบนอุปกรณ์มือถือ
  • ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น

2. ใส่ใจ Keyword Placement

การวาง Keywords อย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO

วิธีการ

  • ใช้ Primary Keyword ในหัวข้อหลัก (H1) และย่อหน้าแรก
  • กระจาย Secondary Keywords ตลอดเนื้อหา
  • ใช้ Long-tail Keywords ในหัวข้อย่อยและเนื้อหา

ข้อควรระวัง

  • ไม่ยัดเยียด Keywords จนเกินไป (Keyword Stuffing)
  • ใช้ Keywords อย่างเป็นธรรมชาติ

3. ใช้ Internal และ External Links

การเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกเว็บไซต์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้อ่าน

วิธีการ

  • ใช้ Internal Links เชื่อมโยงไปยังบทความอื่นๆ ในเว็บไซต์
  • ใช้ External Links อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
  • ใช้ Anchor Text ที่เกี่ยวข้องและเป็นธรรมชาติ

ข้อดี

  • ช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่าย
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา
  • ช่วยในการ Indexing ของเสิร์ชเอนจิน

4. เขียน Meta Description ที่น่าสนใจ

Meta Description เป็นส่วนสำคัญที่ปรากฏในหน้าผลการค้นหา การเขียน Meta Description ที่ดึงดูดใจช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (Click-Through Rate)

วิธีการ

  • เขียนให้กระชับภายใน 150-160 ตัวอักษร
  • ใส่ Primary Keyword อย่างเป็นธรรมชาติ
  • สรุปประเด็นสำคัญของบทความและเชิญชวนให้คลิก

ข้อควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำหรือไม่เกี่ยวข้อง
  • ไม่ควรหลอกลวงผู้อ่านด้วยข้อความที่เกินจริง

บทสรุปการปรับตัวเพื่อเข้าถึงผู้อ่านยุคดิจิทัล

ในโลกที่พฤติกรรมการอ่านเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จสำหรับนักเขียนและนักการตลาดเนื้อหา การเข้าใจพฤติกรรมผู้อ่านยุคใหม่ที่นิยมการแสกนข้อมูล ควบคู่ไปกับการใช้เทคนิคการเขียนที่มีประสิทธิภาพและการ Optimize สำหรับ SEO จะช่วยให้เนื้อหาของคุณโดดเด่นและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน การมองไปข้างหน้าและเตรียมพร้อมสำหรับแนวโน้มใหม่ๆ ในอนาคต จะช่วยให้คุณอยู่เหนือการแข่งขันและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง จำไว้เสมอว่า แม้เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงไป แต่หัวใจสำคัญของการสร้างเนื้อหาที่ดียังคงเป็นการนำเสนอคุณค่าและประโยชน์ให้แก่ผู้อ่านเสมอ


Related News

พิชิตปัญหาทุกสถานการณ์ 5 เทคนิค Problem Solving แบบมืออาชีพ

แก้ได้ทุกปัญหา พิชิตเป้าหมายได้ทุกสถานการณ์ และพบกับทางออกของปัญหาที่ดีที่สุด ด้วย 5 เทคนิคการแก้ปัญหา Problem Solving แบบมืออาชีพในบทความนี้

ถอดรหัสใจลูกค้าด้วย Jobs-To-Be-Done (JTBD) Framework

เจาะใจลูกค้าและค้นพบความต้องการที่แท้จริงด้วยแนวคิด Jobs-To-Be-Done (JTBD Framework) และนำไปพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ตรงใจพวกเขามากที่สุด

6 กลยุทธ์หัวหน้างาน ช่วยปูทางให้คุณมุ่งสู่ความสำเร็จ

พิชิตความสำเร็จในเส้นทางของการเป็นหัวหน้าที่ยอดเยี่ยม ด้วย 6 กลยุทธ์หัวหน้างานยุคใหม่ เสริมสร้างศักยภาพ พร้อมพาทีมมุ่งสู่เป้าหมายและความสำเร็จ

พิชิตปัญหาทุกสถานการณ์ 5 เทคนิค Problem Solving แบบมืออาชีพ

แก้ได้ทุกปัญหา พิชิตเป้าหมายได้ทุกสถานการณ์ และพบกับทางออกของปัญหาที่ดีที่สุด ด้วย 5 เทคนิคการแก้ปัญหา Problem Solving แบบมืออาชีพในบทความนี้

ถอดรหัสใจลูกค้าด้วย Jobs-To-Be-Done (JTBD) Framework

เจาะใจลูกค้าและค้นพบความต้องการที่แท้จริงด้วยแนวคิด Jobs-To-Be-Done (JTBD Framework) และนำไปพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ตรงใจพวกเขามากที่สุด

6 กลยุทธ์หัวหน้างาน ช่วยปูทางให้คุณมุ่งสู่ความสำเร็จ

พิชิตความสำเร็จในเส้นทางของการเป็นหัวหน้าที่ยอดเยี่ยม ด้วย 6 กลยุทธ์หัวหน้างานยุคใหม่ เสริมสร้างศักยภาพ พร้อมพาทีมมุ่งสู่เป้าหมายและความสำเร็จ

logo

ติดต่อเรา

บริษัท แองก้า แบงค็อก จำกัด ให้บริการด้านการตลาดออนไลน์ (Digital Marketing) ครบวงจร ดูแลโดย

ทีมการตลาดรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์กับแบรนด์ระดับโลก และ ระดับประเทศจำนวนมาก