In-House Training การฝึกอบรมที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ

Featured Image

การพัฒนาบุคลากรถือเป็นหัวใจสำคัญที่ผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะการจัด In-House Training ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรโดยเฉพาะ In-House Training ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มศักยภาพของพนักงานเท่านั้น แต่ยังสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องภายในองค์กร ส่งผลให้เกิดการเติบโตทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กรไปพร้อมกัน รวมทั้งยังประหยัดต้นทุนกว่าการส่งพนักงานไปอบรมภายนอกอีกด้วย สำหรับองค์กรใดที่กำลังสนใจจัดอบรมภายในองค์กร  มาทำความเข้าใจว่า In-House Training คืออะไร สำคัญอย่างไร ทำไมองค์กรถึงควรจัดผ่านบทความนี้กับ ANGA Mastery กัน

In-House Training คืออะไร

In-House Training คือการอบรมภายในองค์กรที่จัดขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับพนักงานภายในของตนเอง โดยมีการออกแบบหลักสูตรอบรมพนักงานภายในองค์กรให้สอดคล้องกับความต้องการและเป้าหมายขององค์กรในแต่ละช่วงเวลา การอบรมภายในองค์กรมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาและรูปแบบกิจกรรมได้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะเฉพาะทาง การเสริมสร้างภาวะผู้นำ หรือการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีมก็ตาม 

องค์กรสามารถเลือกดำเนินการฝึกอบรมได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการใช้วิทยากรภายในที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือการจ้างวิทยากรมืออาชีพจากภายนอกมาถ่ายทอดความรู้ สถานที่จัดอบรมอาจเป็นภายในองค์กรเองหรือสถานที่ภายนอกก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของกิจกรรมและจำนวนผู้เข้าร่วม โดยมุ่งเน้นให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงในการทำงาน

In-House Training มีกี่แบบ

In-House Training สามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลักตามระยะเวลาและความเข้มข้นของการฝึกอบรม ได้แก่ การฝึกอบรมระยะสั้นและการฝึกอบรมระยะยาว โดยแต่ละรูปแบบมีจุดเด่นและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. การฝึกอบรมระยะสั้น

การฝึกอบรมภายในองค์กรระยะสั้น (Short-term Training) เป็นหลักสูตรที่ใช้เวลา 1-3 วัน เน้นการถ่ายทอดความรู้และทักษะแบบเข้มข้น เหมาะสำหรับการพัฒนาทักษะเฉพาะด้านที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว หรือการปรับปรุงความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่อการทำงาน วิทยากรจะใช้ทั้งทฤษฎีและกรณีศึกษาจากประสบการณ์จริง เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีหลังจบการอบรม เช่น คอร์ส SEO Strategy for Executives (คอร์สสอนวางกลยุทธ์ SEO) หรือคอร์สเรียน Google Analytics 4 ที่สายการตลาดไม่ควรพลาด เป็นต้น

2. การฝึกอบรมระยะยาว

การฝึกอบรมภายในองค์กรระยะยาว (Long-term Program) มีระยะเวลาตั้งแต่ 1-12 เดือน มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะเชิงลึกและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างยั่งยืน โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับการเตรียมความพร้อมบุคลากรสำหรับตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือการพัฒนากลุ่มผู้มีศักยภาพสูง (Talent) ขององค์กร มีการติดตามผล รับฟีดแบค และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องระหว่างการฝึกอบรม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริงและเกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

In-House Training มีประโยชน์อย่างไรต่อองค์กร

การฝึกอบรมภายในองค์กร สร้างประโยชน์ให้กับองค์กรในหลายมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับเป้าหมายและความท้าทายขององค์กร องค์กรสามารถออกแบบหลักสูตรอบรมภายในองค์กรที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะการขาย การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละแผนก ทำให้การพัฒนาบุคลากรเป็นไปอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากการพัฒนาทักษะแล้ว In-House Training ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานในองค์กร ผ่านกิจกรรมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน การแก้ปัญหา และการสื่อสารระหว่างแผนก เมื่อพนักงานได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์และทำงานร่วมกัน จะเกิดความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่าย นำไปสู่การประสานงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำงานจริง และที่สำคัญคือการจัดอบรมภายในองค์กรช่วยให้การถ่ายทอดความรู้มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากผู้เข้าอบรมมีพื้นฐานวัฒนธรรมองค์กรเดียวกัน เข้าใจบริบทและความท้าทายร่วมกัน ทำให้สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ทันที และเกิดการพัฒนาอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งองค์กร

  • ตอบโจทย์เป้าหมายองค์กรได้ตรงจุด
  • พัฒนาทักษะพนักงานได้ตรงความต้องการ
  • สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแผนก
  • ประหยัดต้นทุนการฝึกอบรม
  • ยืดหยุ่นด้านเวลาและสถานที่
  • พนักงานสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ทันที
  • ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะขององค์กร
  • พัฒนาทักษะการสื่อสารระหว่างทีม
  • สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กร
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม
  • วัดผลและติดตามผลได้ง่าย

ข้อจำกัดของการทำ In-House Training

  • ความรู้พื้นฐานและทักษะของผู้เข้าอบรมแตกต่างกันมาก ทำให้ยากต่อการออกแบบหลักสูตร
  • บางคนอาจไม่เห็นความสำคัญและไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร
  • ผู้เข้าอบรมอาจมีความคาดหวังที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อความพึงพอใจ
  • การหาเวลาที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่ายทำได้ยาก และผู้เข้าอบรมอาจถูกเรียกออกไปทำงานระหว่างการอบรมได้
  • วัตถุประสงค์การอบรมอาจไม่ชัดเจนหรือสื่อสารไม่ทั่วถึง
  • เป้าหมายการอบรมอาจไม่สอดคล้องกับความต้องการของทุกฝ่าย
  • การประสานงานระหว่างแผนกอาจมีความซับซ้อน ทำให้ข้อมูลสำคัญอาจตกหล่นระหว่างการประสานงานได้

8 วิธีทำให้ In-House Training มีประสิทธิภาพที่สุด

การจัด In-House Training หรืออบรมภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มตั้งแต่การประเมินความต้องการไปจนถึงการติดตามผล การให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนจะช่วยให้การฝึกอบรมบรรลุวัตถุประสงค์และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับองค์กร

  1. วิเคราะห์ความต้องการขององค์กรและพนักงานอย่างละเอียด ทั้งด้านทักษะที่ขาด ปัญหาที่ต้องแก้ไข และเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ
  2. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจน วัดผลได้ เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันและสามารถประเมินความสำเร็จได้
  3. ออกแบบหลักสูตรให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรและระดับความรู้ของผู้เข้าอบรม เน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
  4. เลือกวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจบริบทขององค์กร สามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์
  6. จัดเตรียมสื่อและอุปกรณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม ทันสมัย และสนับสนุนการเรียนรู้
  7. ติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ ทั้งระหว่างการอบรมและหลังการอบรม เพื่อวัดประสิทธิภาพและนำไปปรับปรุง
  8. ส่งเสริมการนำความรู้ไปใช้จริง โดยสร้างโอกาสให้ผู้เข้าอบรมได้ประยุกต์ใช้สิ่งที่เรียนรู้ในการทำงาน

บทสรุป

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกการตลาดและโลกธุรกิจ In-House Training หรือการฝึกอบรมภายในองค์กรคือคำตอบสำหรับการพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ด้วยการออกแบบหลักสูตรที่เฉพาะเจาะจงแตกต่างจาก Public Training [เช็คเลย Public Training คืออะไร !] การติดตามผลอย่างเป็นระบบ และการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ องค์กรสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายนี้ หากคุณกำลังมองหาหลักสูตรอบรมภายในองค์กรด้านการตลาดออนไลน์อย่าง Google Analytics 4 หรือมองหาสถาบันสอน SEO โดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ สามารถติดต่อ ANGA Mastery หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่หน้าคอร์สเรียนการตลาดได้เลย 

คอร์สเรียน Google Analytics 4 เรียนออนไลน์
คอร์สเรียน SEO Strategy for Executives (Onsite)
คอร์สเรียน Website Tracking (Onsite)
คอร์สเรียนยิงแอด Facebook (Onsite)
คอร์สเรียน Google Ads

พัฒนาสกิลที่ถูกต้องสำหรับผู้นำ
ด้านการตลาดออนไลน์

ปรึกษาคอร์สเรียน
วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

กันยายน 16

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

การทำงานกับ Influencer เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าใหม่ได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าทราฟฟิกจาก Influencer มีผลลัพธ์จริงแค่ไหน ก็ยากที่จะวัด ROI ของการจ้างงาน บทความนี้จะพาคุณทำ Step by Step ตั้งแต่การสร้างลิงก์ ไปจนถึงการดูรายงานใน Google Analytics ทำไมต้อง Track Traffic จาก Influencer? Step by Step วิธี Track User จาก Influencer ด้วย Google Analytics สมมุติว่าตอนนี้ทีมการตลาดของเราจ้าง Influencer ให้ทำคอนเท้นโปรโมทสินค้าและบริการของเราบน Facebook โดยในแคปชั่นที่เขาเขียนจะมีลิงค์เข้าเว็ปไซต์เรา เพื่อให้คนคลิ๊กเข้ามาดูรายละเอียดสินค้าและบริการของเรา 1. สร้างลิงก์ UTM สำหรับ Influencer เราจำเป็นต้องสร้าง UTM Link ของเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ Google Analytics รู้ว่าผู้ใช้มาจากแคมเปญ Influencer เช่น: https://angamastery.co.th/?utm_source=facebook&utm_medium=influencer&utm_campaign=summer_sale (สามารถสร้างได้ที่ ลิงค์นี้) เพียงเท่านี้ Google Analytics จะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่า user ที่คลิ๊กเข้ามาจากลิงค์นี้เป็นคนที่คลิ๊กเข้ามาจาก Facebook Post ของ Influencer ในแคมเปญของ Summer Sale 2. แชร์ลิงก์นี้ให้ Influencer ส่งลิงก์ที่มี UTM ให้ Influencer เพื่อใส่ในคอนเท้นหรือโพสของพวกเขา 3. สร้าง Channel Group ใหม่ใน GA4 (Google Analytics 4) เพื่อให้ทราฟฟิกจาก Influencer แสดงผลใน Channel Group แยกออกมา: 1.เข้า Google Analytics 2. ไปที่ Admin > Data Settings > Channel Groups 3. คลิก Create new channel group 4. ในช่อง Group Name ให้ตั้งชื่อว่า Influencer ว่า Description ว่า GA4 Influencer Tracking 5. ในช่อง Channel name ให้ใส่ Influencer และ กำหนด Channel Condition ดังนี้: 6. กด Save Channel เพียงเท่านี้ก็จะสามารถสร้าง Default Channel Group ที่ชื่อว่า Influencer ได้เองแล้ว 4. ตรวจสอบ Report สรุป เพียงทำตาม Step ง่าย ๆ นี้ คุณก็สามารถ Track User และ Session ที่เข้ามาจาก Influencer ได้แล้ว โดยแยกเป็น Channel Group ใหม่ ทำให้เห็นชัดเจนว่า Influencer มีผลต่อ Conversion และยอดขายจริงหรือไม่

Related News

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics
วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

16 กันยายน

วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics

เรียนรู้วิธี Track ผู้ใช้งานที่เข้าเว็บไซต์จาก Influencer ด้วย Google Analytics ตั้งแต่การสร้าง UTM ไปจนถึงการตั้งค่า Channel Group ใหม่ เพื่อวัดผลแคมเปญได้อย่างแม่นยำ

อ่านเพิ่มเติม
Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

9 กันยายน

Facebook Ads — Budget Testing Scenario เทคนิคการยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

ANGA MASTERY นำเสนอเทคนิคการทำ Facebook Ads ที่เอเจนซี่เราใช้งานจริง นั่นก็คือการทำ Budget Testing Scenario เพื่อยิงโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด

อ่านเพิ่มเติม